จากเหตุโรงกลั่นน้ำมันสำคัญ 2 แห่งในซาอุดีอาระเบีย ถูกถล่มด้วยโดรนติดระเบิด ไม่ทราบสัญชาติ จนเป็นเหตุให้เพลิงลุกไหม้เสียหายครั้งใหญ่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบของโลก ล่าสุดมีการเปิดเผยหลักฐานเป็นภาพถ่ายจากดาวเทียม ที่สหรัฐฯอ้างว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นฝีมือของอิหร่าน
จากกรณีที่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (14 ก.ย. 2562) โรงกลั่นน้ำมัน และ โรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดิอาระเบีย ถูกโจมตีด้วยโดรนติดระเบิด จนเกิดเพลิงลุกไหม้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยโรงงานทั้ง 2 แห่งเป็นของบริษัท ซาอุดี อารามโค เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีล่าสุดทางการสหรัฐฯออกมาระบุว่า รัฐบาลอิหร่าน เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด หลังตรวจสอบพบว่า ชนิดของโดรนที่ใช้โจมตีนั้นเป็นโดรนทำงานแบบ
“กามิกาเซ่” คือ ติดหัวรบพุ่งเข้าโจมตีเป้าหมาย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของอิหร่าน -เจ้าเทคโนโลยีโดรนในตะวันออกกลางในปัจจุบัน
การกล่าวหาดังกล่าวของสหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลอิหร่านออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีครั้งนี้แต่อย่างใด โดยระบุว่า ทั้งหมดเป็นฝีมือของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน และว่า สหรัฐฯใส่ร้ายอิหร่านโดยไม่มีหลักฐานใดๆ และทั้ระบุว่า ทางกองทัพของอิหร่านพร้อมที่จะเผชิญกับสงครามเต็มรูปแบบ หากจำเป็น
ด้านรัฐบาลจีน และ รัฐบาลสหภาพยุโรป รวมถึง รัสเซีย ต่างเรียกร้องให้ สหรัฐฯและอิหร่าน อดทนอดกลั้นให้มากที่สุด เพราะขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าวขณะที่ล่าสุดทางการซาอุฯ สามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว และระบุว่าไม่มีผู้บาดเจ็บ หรือ เสียชีวิต จากเหตุการณ์นี้
โดยโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 แห่งนั้น มีกำลังการผลิตถึงเกือบ 50% ของประเทศ และ คิดเป็น 5% ของปริมาณน้ำมันที่ทั่วโลกใช้ต่อวัน การโจมตีดังกล่าว ส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกเมื่อวานนี้(วันจันทร์) พุ่งสูงสุด นับตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อครั้งอิรักบุกคูเวตในปี คศ.1990
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้สั่งประกาศให้ปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ออกมารองรับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อรักษาห่วงโซ่ราคาน้ำมันในตลาดโลกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วเมื่อวานนี้ (16 ก.ย. 62)