SHARE

คัดลอกแล้ว

หากพูดถึง Vagabond สิ่งแรกที่หลายคนจะนึกถึงคือมังงะว่าด้วยยอดซามูไรระดับตำนาน มิยาโมโต้ มุซาชิ (Miyamoto Musashi) ของอาจารย์ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ (Takehiko Inoue) คนเดียวกับที่วาดและเขียนมังงะ Slam Dunk แต่ในปัจจุบันภาพจำของใครต่อใครหากพูดถึง Vagabond คือซีรี่ส์เกาหลีที่ดุเดือด เข้มข้น และสนุกที่สุดประจำปี 2019

Vagabond เป็นซีรี่ส์แอ็คชั่น-ทริลเลอร์ความยาว 16 ตอน ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ SBS ที่เกาหลี แต่คนทั่วโลกสามารถรับชมได้ผ่านทาง Netflix ซีรี่ส์กำกับโดย ยูอินซิก (Yu In Shik) และได้ จางยองชอล (Jang Young-Cheol) กับ จองคยองซุน (Jung Kyung-Soon) มาทำหน้าที่เขียนบท พวกเขาคือ 3 ประสานทีเด็ดที่ร่วมงานกันเมื่อไหร่เป็นต้องปังทุกเรื่อง นำโดย Giant (2010), History of the Salaryman (2012) และ Incarnation of Money (2013) ซึ่งกวาดเรตติ้ง คำชม และรางวัลมาครองถล่มทลาย และ Vagabond ก็เข้าข่ายนั้นเช่นกัน  

จริงๆ แล้ว Vagabond ควรต้องออกอากาศตอนแรกไปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่เพราะการถ่ายทำเสร็จสิ้นล่าช้าทำให้ต้องเลื่อนมาออกอากาศในเดือนกันยายนแทน และเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมาก็เพิ่งฉายตอนสุดท้ายจบลง กลายเป็นว่าความล่าช้าไม่มีผลต่อเรตติ้งซึ่งดีไม่มีตก แถมยังได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางจากนักวิจารณ์และสาธารณชน และถูกกล่าวถึงในโลกโซเชี่ยลจนติดเทรนด์ระดับโลก 

สำหรับเรื่องราวของ Vagabond เล่าถึง ชาดัลกอน (อีซึงกิ – Lee Seung-Gi) สตันท์แมนที่หาเลี้ยง ชาฮุน (มุนอูจิน – Moon Woo-Jin) หลานชายแบบเช้าชามเย็นชาม เขาอาจไม่ใช่อาที่ดีนัก ไม่ค่อยคำนึงถึงความรู้สึกของหลานเท่าไหร่ แต่เมื่อ ชาฮุน เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกขณะเดินทางไปยังประเทศโมร็อกโกพร้อมกับอีกกว่า 200 คนในไฟลท์นั้น กลายเป็นจัดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญให้เขากลับมาทบทวนตัวเอง ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจ จู่ๆ เขาพบเบาะแสว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการก่อการร้ายเพื่อเป้าหมายบางอย่าง เขาจึงพยายามทำทุกทางเพื่อสืบหาความจริงและลากตัวการมาลงทัณฑ์ให้จงได้ เป็นเหตุให้ โกแฮรี (เบซูจี – Bae Suzy) เจ้าหน้าที่สาวจากหน่วยข่าวกรองเกาหลีต้องเข้ามาช่วยไขคดีด้วย 

จุดเด่นประการสำคัญของซีรี่ส์เรื่องนี้อยู่ที่การได้ 2 นักแสดงมากความสามารถ อีซึงกิ และ เบซูจี มารับบทนำ ถือเป็นการกลับมาประกบคู่กันอีกครั้งหลังเคยร่วมจอกันมาก่อนในซีรี่ส์ย้อนยุค Gu Family Book (2013) ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีมากเช่นกัน และใน Vagabond ทั้งคู่ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง แถมความสามารถ เสน่ห์ เคมี และความหล่อสวยของพวกเขายังเพิ่มสูงขึ้นกว่าเรื่องก่อนเสียด้วยซ้ำ ทำให้แฟนๆ โดนตกเพิ่มขึ้นอีกมากโข แต่งานในเรื่องนี้ถือว่ายากและโหดหินกว่าเรื่องก่อนหลายเท่าเหมือนกัน เพราะคราวนี้เป็นซีรี่ส์แอ็คชั่นระห่ำเดือด ไล่ล่าแบบนอนสต็อป ตัวเรื่องเต็มไปด้วยปริศนาซับซ้อนซ่อนเงื่อน พวกเขาจึงต้องฟิตร่างกายครั้งใหญ่เพื่อรับมือความทรหด โดยเฉพาะ อีซึงกิ ที่ต้องฝึกฝนหนักกว่าใครเพื่อให้สมกับบทบาทยอดนักบู๊จอมอึด ผู้ไม่ยอมตายง่ายๆ จนกว่าความจริงจะเปิดเผย

อีกจุดขายของ Vagabond คือการพยายามชูว่าเป็นซีรี่ส์เกาหลีที่คุณภาพสูสีกับซีรี่ส์ระดับโลกในทุกองค์ประกอบ ไม่เพียงแค่การแสดง บท และความสนุกลุ้นระทึก แต่ยังรวมถึงงานสร้างที่ใช้เงินจัดเต็มกว่า 2.5 หมื่นล้านวอน ซึ่งหากใครได้ดูก็จะพบว่า เงินที่ลงทุนไปมหาศาลนั้นคุ้มค่าทุกวอนจริงๆ ไม่เพียงแค่ถ่ายทำในเกาหลี แต่ยังยกกองไปถ่ายทำไกลถึงประเทศโปรตุเกสและโมร็อกโก นอกจากจะให้ภาพที่สวยงาม แปลกใหม่ และใช้เทคนิคพิเศษขั้นเทพให้ผลลัพธ์ด้านภาพที่เนี้ยบและเนียนไม่แพ้งานระดับฮอลลีวู้ด ไฮไลท์ของโปรดักชั่นระดับโลกยังอยู่ที่การใช้ฉากหลังเป็นเมืองแทนเจียร์ โมร็อกโก ในการบู๊แหลก ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำเดียวกันกับหนังสายลับเรื่อง The Bourne Ultimatum (2007) ถึงแม้โลเคชั่นจะซ้ำ แต่ทุกฉากต่อสู้อันลุ้นระทึกที่ถ่ายทำมาได้รับการออกแบบอย่างดี และใช้ประโยชน์จากสถานที่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ลงเอยด้วยความสนุกและชวนติดตามไม่แพ้ The Bourne Ultimatum เลย 

แต่ตามสไตล์ของซีรี่ส์แอ็คชั่นทุนสูง Vagabond มาพร้อมกับความขี้โม้ขั้นสุด โดยเฉพาะในเกมวางหมากหักเหลี่ยมเฉือนคมของตัวละครทุกฝ่ายที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลายชั้นและดูจะฉลาดล้ำเกินไป จนยากจะเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง มันอาจเป็นจุดที่ไม่ชวนให้คล้อยตาม แต่จุดอ่อนดังกล่าวโดนกลบด้วยการเล่าเรื่องรวดเร็วฉับไว และเนรมิตสถานการณ์อันพลิกผันให้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จนกว่าคนดูจะรู้ตัวว่าควรต้องถือสาหาความกับประเด็นดังกล่าว ก็สนุกติดลมบนไปไกลแล้ว และถึงซีรี่ส์จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้เร็วเกินไปจนตัวละครขาดมิติและพัฒนาการ

ในแต่ละตอนคนดูจะสัมผัสได้ถึงแง่มุมของตัวละครที่อาจไม่คาดคิดมาก่อน ได้เห็นความซับซ้อน ความเปราะบาง และความน่าเห็นใจอย่างเท่าเทียมทุกฝ่ายจนอาจกล่าวได้ว่า ซีรี่ส์เรื่องนี้ไม่มีใครขาวสุดหรือดำสุด ตัวละครที่รักพร้อมจะกลายเป็นคนน่ารังเกียจได้ทุกเมื่อ ส่วนตัวละครที่น่าเดียดฉันท์ก็อาจน่าเห็นใจ น่าเอาใจช่วยมากที่สุดได้เช่นกัน ด้วยความเข้มข้นและความน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบของ Vagabond ทำให้ผู้เขียนนึกถึงความมันส์ของซีรี่ส์แอ็คชั่นระดับตำนานเรื่อง 24 (2001-2010) ที่มาพร้อมเนื้อเรื่องโม้สะบั้นหั่นแหลกไม่แพ้กัน มีฉากแอ็คชั่นชวนลุ้นระทึก ความสนุกตื่นเต้น การหักเหลี่ยมเฉือนคม ความคาดเดาไม่ได้ และการสอดแทรกประเด็นการก่อการร้าย เชื่อมโยงปัญหาทางการเมือง เมื่อพอพิจารณาจากว่าผู้สร้างเองเคยพูดว่าพวกเขามี 24 เป็นหนึ่งในต้นแบบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวถึงก็มีทั้งหมด มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขานำเอาข้อดีของซีรี่ส์ที่เล่นกับเวลาแบบเรียลไทม์เรื่องนั้นมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดจริงๆ

ดังที่กล่าวไปว่า Vagabond มาพร้อมความสนุกและความน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ยิ่งเรื่องราวดำเนินไปและเจอเรื่องพีคขึ้นเรื่อยๆ ก็ชวนให้กังวลเหมือนกันว่า สุดท้ายแล้วผู้สร้างจะหาทางคลี่คลายปมทุกอย่างให้สวยงามได้อย่างไร และมีตัวอย่างมากมายที่ดำเนินมาเรื่องมาอย่างดิบดี ทว่ากลับพังพินาศในตอนจบ ตัวอย่างสำคัญก็คือ 24 ในหลายๆ ซีซั่น แต่โชคดีว่า Vagabond ไม่ได้เอาข้อเสียดังกล่าวมาใช้ แถมยังหาทางที่ฉลาด (และเหนือความคาดหมาย) จนทำให้ใครต่อใครที่ได้ดูต่างอยากดูซีซั่นต่อไปกันใจจะขาดถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีคำยืนยันอย่างเป็นทางการว่า เหล่าผู้สร้างจะเดินหน้า Vagabond ซีซั่น 2 กันหรือไม่ และถ้ามีจริงจะมีกำหนดฉายเมื่อไหร่ เพราะยังต้องดูข้อตกลง และคิวงานของหลายๆ ฝ่าย ซึ่งเพิ่งได้พักจากการทำงานอันหนักหนาและยาวนานถึง 11 เดือน

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว เราน่าจะได้ดู Vagabond ซีซั่นต่อไปแน่นอน เพราะหากไม่มีภาคใหม่ตามมา เชื่อได้ว่าเหล่าผู้สร้างน่าจะโดนคนทั่วโลกรุมประชาทัณฑ์โทษฐานที่มาทำให้อยากแล้วจากไป ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อว่ามหกรรมความเดือดนี่จะกลับมาอีกทีเมื่อไหร่ แต่ถึงต้องรอนานหน่อย หากการรอคอยแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีงามแบบนี้ มั่นใจได้ว่าคนดูก็พร้อมจะรอ อย่างน้อยก็มีผู้เขียนหนึ่งคนแล้วแน่นอน

บทความโดย ปารณพัฒน์ แอนุ้ย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า