SHARE

คัดลอกแล้ว

ในวงการภาพยนตร์ ต่อให้คุณเป็นสุดยอดผู้กำกับ มีผลงานที่ได้รับการยกย่องจากทั่วทั้งวงการ แถมไม่เคยทำหนังแย่เลยสักครั้ง คุณก็สามารถเจอปัญหาขอทุนสร้างไม่ได้เหมือนกัน และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง มาร์ติน สกอร์เซซี่ย์ ตอนกำลังจะทำหนังเรื่อง The Irishman ต่อให้เขาจะเป็นเจ้าของผลงานสุดลือลั่นอย่าง Taxi Driver (1976), Raging Bull (1980), Goodfellas (1990), Casino (1995) และ The Aviator (2004) เป็นต้น แต่พอเขาไปพบหัวเรือใหญ่ของค่ายหนังแต่ละค่าย กลับไม่มีใครย่อมร่วมหัวจมท้ายเลยสักราย

THE IRISHMAN

สาเหตุสำคัญเป็นเพราะลุงมาร์ตี้ ต้องการทุนสร้างสูงถึง 159 ล้านดอลลาร์ มันอาจไม่เยอะสำหรับหนังบล็อคบัสเตอร์แนวแอ็คชั่นบู๊แหลก แต่เมื่อพิจารณาว่านี่คือหนังมาเฟียวัยไม้ใกล้ฝั่ง และนำแสดงโดยรุ่นเก๋าระดับ โรเบิร์ต เดอนีโร, โจ เปสชี่ และ อัล ปาชิโน่ ซึ่งปัจจุบันพวกเขาหาใช่ดาราที่สามารถการันตีว่าหนังจะทำเงินถล่มทลาย หากค่ายหนังอนุมัติไปเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเสียเปล่าๆ

ด้วยอุปสรรคดังกล่าวเป็นผลให้ลุงมาร์ตี้เกือบถอดใจไปแล้ว โชคดีว่า Netflix ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการเป็นค่ายใจป๋า ไม่ได้ซีเรียสเรื่องต้องทำกำไรจากค่าตั๋วหนังอยู่แล้ว สิ่งที่พวกเขาซีเรียสยิ่งกว่าคือการทำผลงานคุณภาพต่างหาก ในเมื่อพวกเขารู้ดีว่ายังไง สกอร์เซซี่ย์ ก็ไม่มีวันทำหนังห่วยจึงมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้เขาเอาไปปั้นหนังเต็มที่ และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสุดยอดภาพยนตร์ความยาว 3 ชั่วโมงครึ่ง อีกหนึ่งมาสเตอร์พีซในชีวิตของยอดผู้กำกับระดับตำนาน

The Irishman ปล่อยให้ดูแล้วทาง Netflix ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แม้น่าเสียดายที่ในเมืองไทยไม่มีผู้จัดจำหน่ายเจ้าไหนนำมาฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ถึงจะดูจากจอเล็กๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า The Irishman มีคุณสมบัติทุกอย่างตามตำราว่าด้วยหนังดี และยังมีทุกอย่างสมกับความเป็นหนังมาเฟียชั้นเลิศตามสไตล์สกอร์เซซี่ย์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงขั้นเทพ การกำกับภาพ และการลำดับภาพสุดเนี้ยบที่คิดและออกแบบมาอย่างดี นอกจากนั้นหนังยังใช้เทคนิคพิเศษสุดว้าว De-aging เพื่อทำให้ใบหน้าของนักแสดงนำอย่าง เดอนีโร, เปสชี่ และ ปาชิโน่ ซึ่งแต่ละคนอยู่ในวัย 70-80 ปีดูอ่อนเยาว์ลงได้อย่างน่าเหลือเชื่อ (อาจไม่ได้ช่วยให้พวกเขาดูหนุ่มขนาดอายุ 20-30 ปี แต่ก็มองเห็นความแตกต่างได้อย่างเด่นชัด)

ในส่วนของการเล่าเรื่องก็มาพร้อมลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ของลุงมาร์ตี้ ตามแบบฉบับ Goodfellas, Casino หรือ The Wolf of Wall Street (2013) หนังดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ทุกวินาทีมาพร้อมความดุเดือด ความรุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ การหักหลัง และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ถึงลักษณะจะคล้ายกัน สกอร์เซซี่ย์ก็ยังทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงความแปลกใหม่ และไม่ซ้ำซากเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานชิ้นเก่าๆ 

ทุกสิ่งที่ว่ามานี้เป็นผลให้หนังได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากทั่วทุกสารทิศ ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมที่สุดประจำปี 2019 โดยตอนนี้หนังเริ่มเดินหน้าเก็บรางวัลเข้าตู้แล้ว เริ่มจาก National Board of Review หรือ NBR สถาบันภาพยนตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ตบรางวัลหนังยอดเยี่ยมให้เรียบร้อย และยังติด 1 ใน 10 อันดับหนังยอดเยี่ยมของ American Film Institute (AFI) ด้วย ทั้ง 2 สถาบันถือเป็นจุดสตาร์ทที่ดี และมั่นใจได้เลยว่าหนังจะเข้าไปมีบทบาทสำคัญบนเวทีออสการ์ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2020 แน่นอน โดยสาขาที่หนังเป็นตัวเต็งประกอบไปด้วย หนังยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทดัดแปลงยอดเยี่ยม (หนังสร้างมาจากหนังสือเรื่อง I Heard You Paint Houses ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2004), กำกับภาพยอดเยี่ยม และลำดับภาพยอดเยี่ยม 

ส่วนรางวัลด้านการแสดงก็มีโอกาสสูงเช่นกัน สาขาที่จะอิรุงตุงนังมากๆ คือนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบสมทบยอดเยี่ยม เพราะ The Irishman มาพร้อมการแสดงชั้นยอดพร้อมกันของ เดอนีโร, เปสชี่ และปาชิโน่ Netflix จะดันใครให้เข้าชิงสาขาไหน จะดันทั้ง 3 คน หรือจะเลือกผลักแค่ 2 คนให้เข้าชิงในแต่ละสาขาแบบโดดๆ ไปเลยเป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป โดยตอนนี้ค่อนข้างการันตีว่าชื่อของ โรเบิร์ต เดอนีโร จะถูกดันในสาขานักแสดงนำชายแน่ๆ ส่วนโจ เปสชี่ กับ อัล ปาชิโน่ ทั้งคู่ได้รับการกล่าวถึงมากพอกันในสาขานักแสดงสมทบชาย บางแห่งเลือกตบรางวัลให้ เปสชี่ แต่บางแห่งก็เลือก ปาชิโน่ แทน การมีเสือหลายตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันจะตัดคะแนนกันเองมากน้อยแค่ไหน อีกไม่นานคงได้รู้กัน

THE IRISHMAN

ที่ไล่เรียงมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่มีตัวเต็งในสาขานักแสดงหญิงเลย เพราะ The Irishman ยังมีอาวุธเด็ดอย่าง แอนนา พาควิน เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากหนังเรื่อง The Piano (1993) ที่กวาดเสียงชื่นชมจากทั่วทุกสารทิศในบทที่แทบไม่ได้พูดเลย แถมเวลาบนจอก็น้อยกว่าใคร อย่างไรก็ตามเธอกลับเป็นตัวขโมยซีนสุดจี๊ด ได้รับการจดจำไม่แพ้นักแสดงชายในเรื่อง ไม่แน่ว่าหากหนังสามารถยืนกระแสได้ยาวนาน เธออาจหยิบชิ้นปลามันไปครองก็ได้

ทั้งนี้ สิ่งที่แฟนสกอร์เซซี่ย์ยังต้องลุ้นต่อก็คือ ถึงหนังจะได้เข้าชิงรางวัล แต่จะสามารถชนะได้ไหม เพราะที่ผ่านมา ออสการ์ไม่ค่อยตบรางวัลให้หนังของเขามากเท่าไหร่จนอาจเรียกได้ว่าบุญมีแต่กรรมบัง ถึง สกอร์เซซี่ย์ จะทะลุเข้าไปชิงออสการ์อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะในสาขาหนังยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่ออสการ์มักจะมองข้ามหนังดีๆ ของเขาอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็น Raging Bull, Taxi Driver, THe Aviator, Goodfellas, Casino และ Silence (2016) เป็นต้น

และตลกร้ายพอสมควรตรงที่พอ สกอร์เซซี่ย์ ได้รางวัลไปครอง เขากลับได้รางวัลออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยม และหนังยอดเยี่ยมจาก The Departed (2006) แม้หนังจะถึงจะยังคงถึงพร้อมด้วยคุณภาพ และเป็นที่ฮือฮาในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศทางตะวันตกที่ยกยอปอปั้นหนังสุดกำลัง แต่กับคนเอเชียอย่างเราๆ ที่เคยผ่านตา Infernal Affairs (2002) หนังฮ่องกงซึ่งเป็นต้นฉบับของ The Departed ทุกวันนี้ยังอดเสียดายไม่ได้ว่า ออสการ์หาโอกาสเชิดชูสกอร์เซซี่ย์ผิดเวลาจริงๆ

และในปี 2019 ก็มีหนังน้ำดีเข้าฉายเยอะมาก คู่แข่งของ The Irishman ประกอบด้วยสายแข็งอย่าง Once Upon a TIme in Hollywood ของผู้กำกับ เควนติน ทาแรนติโน่ ซึ่งเชิดชูวงการหนังในยุคเปลี่ยนของฮอลลีวู้ด, Parasite หนังเกาหลีเจ้าของรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ ขวัญใจของคนดูและนักวิจารณ์ทั่วโลก, Marriage Story หนังดราม่าฟอร์มเล็กแต่ถึงพร้อมในคุณภาพของผู้กำกับยอดฝีมือ โนอาห์ บอมบาช (มีให้รับชมแล้วทาง Netflix), Little Women ผลงานการกำกับของ โซเฟีย คอปโปล่า ที่มาแรงสุดๆ หลังจากเปิดตัวฉายไปไม่นาน รวมถึง Richard Jewell หนังของ คลินต์ อีสต์วู้ด ที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาแบบไม่มีใครคาดคิด แถมได้เสียงวิจารณ์ที่ดีไม่แพ้หนังที่กล่าวถึงเหล่านี้เลย เป็นต้น ต้องติดตามกันต่อไปว่าใครจะมาวินกันแน่

 ทั้งนี้ทุกคนล้วนมีหนังเรื่องที่ชอบเป็นของตัวเอง และแต่ละคนย่อมเชียร์หนังให้ได้ออสการ์ไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม การได้หรือไม่ได้รางวัลไม่ได้หมายความว่าคุณค่าในหนังเรื่องนั้นจะลดลง ผลงานของผู้กำกับ สกอร์เซซี่ย์ เรื่องนี้ก็เช่นกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ หนังจำนวนมากของเขาคงถูกลืมเลือนไปนานแล้ว และไม่ว่าสุดท้าย The Irishman จะได้ออสการ์ไปหรือไม่ มันจะยังคงเป็นหนังที่ดีประจำปีนี้ และจะได้รับการยกย่อง ถูกพูดถึงไปอีกนานแสนนาน หากใครยังไม่ได้ดู The Irishman ยังไม่ได้พิสูจน์ความยอดเยี่ยมของหนังด้วยตาตัวเองล่ะก็ สามารถรับชมได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทาง Netflix ที่เดียวเท่านั้น แล้วจะรู้ว่าช่วงเวลา 3 ชั่วโมงครึ่งของหนังนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงใด

บทความโดย ปารณพัฒน์ แอนุ้ย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า