ตำรวจสากลออก “หมายแดง” ไล่จับอดีตประธานนิสสันหลบหนีคดีจากญี่ปุ่น

คาร์ลอส กอส์น อดีตประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์

ตำรวจสากลออกหมายจับขอให้ตำรวจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกดำเนินการติดตามและจับกุม นาย คาร์ลอส กอส์น อดีตผู้บริหาร บริษัท นิสสัน มอเตอร์ หลบหนีการดำเนินคดีออกจากญี่ปุ่นไปเลบานอน

วันที่ 3 ม.ค.63 สื่อต่างประเทศรายงานว่า จากกณีที่นายคาร์ลอส กอส์น อดีตประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถยักษ์ของญี่ปุ่น กลายเป็นผู้ร้ายหนีคดีหลีกเลี่ยงภาษี และ ทุจริต ยักยอกเงินของบริษัทฯ โดยเขาใช้หนังสือเดินทางสัญชาติฝรั่งเศส 1 ใน 2 เล่มที่เขาถืออยู่ ในการหลบหนีออกจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 31 ธค. ที่ผ่านมา ไปยังเลบานอน ในระหว่างที่เขาถูกคุมตัว รอการพิจารณาคดี

ทั้งนี้การหลบหนีของเขากลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก เนื่องจาก เขาใช้วิธีหลบสายตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจออกจากบ้านพักไป ด้วยการแอบซ่อนตัวในกล่องบรรจุเครื่องดนตรีขนาดใหญ่ของกลุ่มทหารรับจ้างเลบานอน ซึ่งปลอมตัวเป็นนักดนตรีออร์เคสตรา ถูกจ้างมาในงานเลี้ยงที่บ้านของเขา ก่อนจะขึ้นเครื่องบินส่วนตัวเดินทางเข้าประเทศเลบานอน ซึ่งต่อมานายกอส์นได้ออกมาแถลงโจมตีกระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่น โดยระบุว่ามีการทุจริต และ เขาถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ในระหว่างถูกควบคุมตัว ก่อนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และเขายังกล่าวว่า ไม่ได้หลบหนีการต่อสู้คดีในญี่ปุ่น แต่ต้องการหลุดพ้นจาก ความไม่ยุติธรรม และ การคดีมีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง

ล่าสุดตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล ได้มีการออกหมายจับ เรียกว่า “หมายแดง” ขอให้ตำรวจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึง ตำรวจของเลบานอน ติดตามจับกุมนายกอส์นโดยเร็ว ขณะที่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศเลบานอน กล่าวว่า นายกอส์น เดินทางเข้าเลบานอนโดยถูกต้อง จึงไม่มีเหตุผลที่จะดำเนินการทางกฎหมาย

ด้านตำรวจท้องถิ่นของตุรกี สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย 7 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนีของนายกอส์น -ประกอบด้วยนักบิน 4 คน และเจ้าหน้าที่สนามบินอีก 3 คน ทั้งนี้หมายแดงของอินเตอร์โพล คือการขอให้ตำรวจทั่วโลก จับกุมตัวบุคคลใดๆ เอาไว้ชั่วคราว เพื่อรอการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ขณะที่เลบานอนไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับญี่ปุ่น และท่าทีของทางการฝรั่งเศสที่ออกมาประกาศว่า หากนายกอส์นเดินทางเข้าฝรั่งเศส รัฐบาลจะไม่ส่งตัวเขาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจากเขาถือสัญชาติฝรั่งเศส เพราะฝรั่งเศสจะไม่มีทางส่งตัวพลเมืองของตนเองในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน