เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดรูว์ แฮร์ริส นักวิเคราะห์สุขภาพประชากร ได้เดินทางไปเยี่ยมลูกสาวที่รัฐโอเรกอน ตอนนั้นเขาได้อ่านบทความในฟีดข่าวของกูเกิล ซึ่งเขียนโดยเว็บไซต์ ดิ อีโคโนมิสต์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจำกัดความเสียหายที่เกิดจากโควิด-19

แนวตั้ง: จำนวนผู้ติดเชื้อ / แนวนอน: ระยะเวลาตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อคนแรก / เส้นประ: ความสามารถในการรองรับของระบบสุขภาพ
ดร. แฮร์ริส จึงได้สร้างแผนภูมิการระบาด โดยได้รับความช่วยเหลือจาก โรซามุนด์ เพียร์ซ ผู้สื่อข่าวด้านแผนภาพข้อมูล โดยอิงมาจากภาพกราฟิกที่ปรากฎในเอกสาร “แนวทางการบรรเทาสาธารณภัยของชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่” ที่จัดทำโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC เมื่อปี 2017
แผนภูมิการระบาดดังกล่าวเป็นแผนภูมิที่มีเส้นกราฟโค้ง 2 เส้น โดยเส้นหนึ่งมีลักษณะชัน ที่บ่งชี้ว่ามีการระบาดของโควิด-19 อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันใกล้ ส่วนอีกเส้นมีความราบเรียบมากกว่า ที่แสดงให้เห็นถึงอัตราการติดเชื้ออย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลาที่นานขึ้น
ทั้งนี้ เส้นที่มีความราบเรียบ ยังอาจหมายถึงการมีผู้ติดเชื้อน้อยกว่า และมีผู้เสียชีวิตน้อยกว่า โดย ดร. แอนโธนี่ ฟอชี่ ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและโรคภูมิแพ้แห่งชาติสหรัฐ กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องทำคือ การทำให้เส้นกราฟนั้นราบเรียบลง ด้วยการเข้าไปขัดขวางกระบวนการไหลเวียนตามธรรมชาติของการระบาด
ดร. แฮร์ริสกล่าวว่า ผู้ที่มีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอรวมถึงคนในหน่วยงานด้านสาธารณสุข ได้คิดถึงปัญหานี้มานานหลายปีแล้ว ความเข้าใจและการจัดการการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คืส่วนสำคัญของการเตรียมพร้อม อย่างไรก็ตาม ในระหว่างคอร์สการอบรม นักศึกษารายหนึ่งได้แสดงความสงสัยถึงแนวคิดของการลดความชันของเส้นโค้ง ดังนั้น เขาจึงเพิ่มเส้นประลงไป เพื่อชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถของสถานพยาบาลต่างๆ ในการรองรับผู้ป่วย
หลังเดินทางกลับ ดร. แฮร์ริส ได้สร้างภาพกราฟิก และโพสต์ลงในบัญชีทวิตเตอร์และลิงก์อิน และตอบข้อสงสัยต่อนิวยอร์กไทมส์ว่า เส้นกราฟโค้ง 2 เส้นนี้มีความสำคัญอย่างไร
อะไรคือ “การทำให้เส้นกราฟราบเรียบลง?”
เป้าหมายในการต่อสู้กับโรคระบาด (Epidemic) หรือ การระบาดใหญ่ทั่วโลก (Pandemic) คือการหยุดยั้งการระบาดลงโดยสมบูรณ์ แต่การบรรเทาการระบาดก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ที่จะทำให้แพทย์ โรงพยาบาล ตำรวจ โรงเรียน และผู้ผลิตวัคซีน มีเวลาในการเตรียมพร้อมและตอบสนอง โดยไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะสามารถทำงานได้ แม้จำนวนเจ้าหน้าที่จะลดลงร้อยละ 10 แต่อาจทำไม่ได้หากเจ้าหน้าที่หายไปครึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มีผู้แย้งว่าควรจัดการกับการระบาดให้เร็วที่สุด ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากความตื่นตระหนกต่อการล้มป่วยและความตายโดยไม่จำเป็น การชะลอและกระจายคลื่นของการระบาด จะช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่า และการทำให้เส้นโค้งราบเรียบลง จะทำให้สังคมยังคงเดินหน้าต่อไปได้
เส้นโค้งทั้งสองเส้นกำลังบอกอะไรกับเรา?
เส้นโค้งทั้งสองเส้นแสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วงเวลาหนึ่ง ยิ่งมีรายงานพบผู้ติดเชื้อในแต่ละวันมากขึ้นเท่าใด เส้นโค้งก็จะชันและสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าไวรัสระบาดอย่างรวดเร็ว ส่วนเส้นโค้งที่ต่ำกว่า แสดงให้เห็นว่า ไวรัสระบาดช้ากว่า พบผู้ติดเชื้อในแต่ละวันน้อยกว่า การทำให้เส้นโค้งเรียบลง คือการลดอัตราผู้ป่วยรายใหม่ ช่วยป้องกันการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด (ซึ่งแทนด้วยเส้นประ) อย่างสิ้นเปลือง
โดยสมมุติให้ความสามารถในการรองรับด้านสุขภาพคือรถไฟใต้ดินขบวนหนึ่ง ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ครั้งละจำนวนหนึ่ง ในระหว่างชั่วโมงเร่งด่วน มันอาจไม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงต้องมีผู้ที่ต้องรอขบวนต่อไป ดังนั้น การเหลื่อมเวลาชั่วโมงการทำงาน จะช่วยลดปัญหานี้ได้ และทำให้เรามีโอกาสได้ขึ้นรถไฟหรือแม้แต่ได้ที่นั่ง เช่นเดียวกัน การลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ จึงจะช่วยให้ผู้ที่ต้องการการดูแล สามารถรับบริการได้โดยที่ไม่ต้องรอ
มาตรการบรรเทาผลกระทบประเภทใดที่ช่วยเปลี่ยนเส้นโค้งสีแดงให้เป็นเส้นโค้งสีน้ำเงิน?
โรคจะแพร่กระจายก็ต่อเมื่อคนหนึ่งนำไปติดคนหนึ่งหรือคนอื่นๆ การติดต่อจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงโรคนั้นแพร่กระจายได้ง่ายเพียงใด ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดมีจำนวนเท่าใด และพวกเขาจะล้มป่วยได้เร็วเพียงใด
ความแตกต่างระหว่างโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และโควิด-19 คือ คนเหล่านั้นมีภูมิคุ้มกันโรคไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งหมดหรือบางส่วน เนื่องจากพวกเขามีภูมิคุ้มกันอยู่ก่อนแล้ว หรือได้รับจากการฉีดวัคซีน ผู้คนจำนวนมากมีความเสี่ยงต่อโควิด-19 ดังนั้นมันจึงมีโอกาสที่จะแพร่กระจายได้มาก การที่คนจำนวนมากไม่อยู่รวมกันในเวลาและสถานที่เดียวกัน ด้วยการใช้มาตรการการทิ้งระยะห่างทางสังคม การโดดเดี่ยวตนเอง และการกักตัว จึงช่วยลดโอกาสของการติดต่อได้
การต้องใช้บริการขนส่งสาธารณะที่แออัด ถือเป็นแหล่งที่เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายได้ง่าย แต่การลดจำนวนผู้ใช้บริการเหล่านั้น ด้วยการอนุญาตให้ทำงานจากที่บ้าน หรือการสลับชั่วโมงการทำงาน ทำให้เรามีโอกาสที่จะไม่เจอคนจำนวนมาก และยังช่วยจำกัดการแพร่กระจายของไวรัส ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือการใช้มาตรการการทิ้งระยะห่างทางสังคม
มาตรการต่างๆ ที่ทำให้เราไม่ต้องใกล้ชิดกับผู้คนมากนัก ทำให้โอกาสที่จะติดต่อมีสัดส่วนลดลงด้วย ซึ่งช่วยให้การแพร่กระจายของเชื้อลดลง ดังนั้น เราจึงควรและจะต้องนำคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด แยกออกไปจากกลุ่มประชากรจำนวนมาก
ในแต่ละวันเราต้องทำอะไรบ้างในช่วงเวลาที่ไม่ปกติเช่นนี้?
ดร. แฮร์ริสบอกว่า เขาระมัดระวังกับสิ่งรอบตัวและพฤติกรรมต่างๆ เขาพยายามจะใช้แขนเสื้อหรือข้อศอกเพื่อเปิดประตู ล้างมือหรือใช้น้ำยาล้างมือหลังจากสัมผัสกับพื้นผิวที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค รวมถึงเตรียมยาที่จะเป็นให้พร้อมตลอดเวลา เผื่อในกรณีที่เกิดการขาดแคลนหากซัพพลายเออร์ยาจากจีนต้องปิดตัวลง
เขาหลีกเลี่ยงที่ที่มีคนจำนวนมากและคนป่วย แต่ก็ยังออกไปข้างนอกบ้านบ้าง จนกว่าจะมีคำสั่งกักตัวหรือการสั่งปิดสถานที่สาธารณะ เขาทราบดีว่ามีโอกาสที่จะติดไวรัสก่อนที่จะมีวัคซีนใช้ แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือ มีคนที่มีความเสี่ยงมากกว่าเขา คนที่ขาดแคลนทรัพยการต่างๆ หรือคนที่ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ หรือคนที่ต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ เมื่อธุรกิจต่างๆ ต้องปิดตัว และแม้แต่คนไร้บ้านที่ต้องพึ่งองค์กรการกุศลต่างๆ จะทำอย่างไร หากการระบาดยังดำเนินต่อไป