รอมฎอนคือเดือนแห่งการเฉลิมฉลองและเดือนแห่งความศักดิ์สิทธิของชาวมุสลิมที่พร้อมใจกันถือศีลอดตามหลักศาสนาที่พวกเขาศรัทธา แต่รอมฏอนของผู้ลี้ภัย 70 ล้านคนทั่วโลกอาจไม่เป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนชาวมุสลิมทั่วไป เพราะพวกเขาต้องพลัดถิ่นจากบ้านหนีจากสงครามและความรุนแรง
ซ้ำร้ายวิกฤตโรคโควิด-19 เข้ามา ซ้ำให้ประชากรที่ขาดแคลนและเปราะบางมากที่สุดในสังคมมีความเสี่ยงยิ่งไปอีก ขณะเดียวกันชุมชนที่ให้ที่พักพิงก็เริ่มขาดแคลนทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการดำรงชีพ หมายความว่าการศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอนนี้ อาจต้องกระทำโดยปราศจากอาหารบนโต๊ะหลังการอดอาหารและน้ำมาแล้วในแต่ละวัน
“รอมฎอนจากเดือนที่เคยมีความสุขที่สุดกับครอบครัว ชีวิตผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมยังคงเผชิญกับความยากลำบากและความขาดแคลนในหลายๆ ด้าน และปีนี้ศาสนกิจต่างๆ ที่เคยถือปฏิบัติมาเนิ่นนานในช่วงเดือนรอมฎอนมีความจำเป็นต้องปรับตามมาตรการเพื่อรักษาสาธารณสุขในพื้นที่ แต่รอมฎอนยังคงเป็นเดือนแห่งการแบ่งปัน ไม่ว่าเราจะเป็นใคร เราสู้อยู่ในวิกฤตเดียวกัน และผมเชื่อว่าความเมตตาและความหวังซึ่งเป็นแก่นแท้ของการถือศีลอดจะพาเราต่อสู้กับเชื้อไวรัสไปด้วยกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว” นายจูเซ็ปเป้ เด วินเซ็นทิส ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ กล่าว
ด้วยเหตุนี้เองสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) สานต่อความร่วมมือกับสำนักจุฬาราชมนตรีและสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อ ในโครงการ “รอมฎอนนี้เพื่อพี่น้อง” เพื่อระดมทุนส่งต่อความช่วยเหลือนี้แก่ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นชาวมุสลิมที่ไม่มีโอกาสได้เฉลิมฉลองเดือนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในประเทศของตน ปีนี้เป็นปีที่ 3 แต่เป็นการช่วยเหลือที่ต้องการอย่างเร่งด่วนมากกว่าปีไหน ๆ เพื่อป้องกันพวกเขาจากความยากแค้นที่ทวีคูณท่ามกลางวิกฤตโรคโควิด-19
นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี เห็นพ้องกับ UNHCR โดยชี้ว่าเดือนแห่งความศักดิ์สิทธ์ปีนี้ เป็นสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างมาก นอกจากเป็นปีที่วิกฤตผู้ลี้ภัยสูงที่สุดในประวัติการณ์ยังมีการแพร่ระบาดระดับโลกของโรคโควิด-19 “ทำให้พี่น้องผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมเปราะบางมากขึ้นไปอีก”
ข้อมูลจาก UNHCR ระบุว่ายอดผู้ลี้ภัยในปัจจุบันมีมากกว่า 70 ล้านคนที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ออกจากบ้าน ประชากรส่วนใหญ่คือชาวมุสลิมที่เป็นเด็กและผู้หญิง
นอกจากระดมทุน โครงการ “รอมฎอนนี้เพื่อพี่น้อง” ยังเปิดรับบริจาคซะกาตหรือทานประจำปี ซึ่งเป็นการบัญญัติขึ้นตามหลักศาสนาอิสลามเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก 8 ประการ และ UNHCR ได้รับการรับรองจากนักวิชาการศาสนา (นักฟัตวา) ระดับโลก เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือเพิ่มเติมแด่พี่น้องผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมที่เผชิญความยากลำบากจากวิกฤติโควิด-19 โดยจุฬาราชมนตรีกล่าวว่า “การช่วยเหลือพวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอมฎอนจะฝึกให้เราเป็นผู้ให้ และเราจะได้รับผลบุญจากอัลลอฮฺหลายเท่าทวีคูณ”
โครงการ “รอมฎอนนี้เพื่อพี่น้อง” ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2561 ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 3 ปีและได้รับความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนอย่างดีจนในปีที่ผ่านมาสามารถส่งต่อความช่วยเหลือถึงผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นชาวมุสลิมทั่วโลกไปมากกว่า 1 ล้านคน
ส่วนในปีนี้จุดประสงค์หลักของโครงการมุ่งระดมทุนเพื่อจัดหาความช่วยเหลือที่จำเป็น เช่น ที่พักพิง อาหาร น้ำสะอาด และเงินช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นภายในประเทศที่เปราะบาง ซึ่งรวมถึง เด็กกำพร้า แม่เลี้ยงเดี่ยวและหญิงหม้าย ผู้สูงอายุในประเทศซีเรีย เยเมน อิรัก รวมถึงผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในประเทศบังคลาเทศ
สำนักจุฬาราชมนตรี และสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี ได้สนับสนุนการทำงานของ UNHCR ในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในฐานะองค์กรภาคีเพื่อมนุษยธรรม โครงการนี้จะช่วยมอบงบประมาณให้ UNHCR สามารถดำเนินงานให้ความคุ้มครองที่ทำอยู่เดิมได้ พร้อมให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นเพิ่มเติมในการตั้งรับต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดย UNHCR จะนำเงินบริจาคทั้งหมดไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่เปราะบางต่อไป และทานซะกาตจะถูกนำไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ตรงตามคุณสมบัติที่ควรได้รับภายใต้การดูแลและตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อความโปร่งใสในทุกขั้นตอนตั้งแต่การบริจาคจนถึงการให้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและบริจาคได้ที่
#UNHCRThailand #EveryGiftCounts #รอมฎอนนี้เพื่อพี่น้อง #COVID19