SHARE

คัดลอกแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=Twb4W_G8FJE&feature=youtu.be

      หลังจากที่เราทำความรู้จักกับสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่าง ๆ ในบทความตอนที่ 2 ไปแล้ว มาถึง Episode ที่ 3 นี้ ดร.พีรภัทร ฝอยทอง นักวางแผนการเงินส่วนบุคคล จะอธิบายถึงความสำคัญของการจัดพอร์ตลงทุน ว่าทำไมเราควรจัดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง แล้วการจัดพอร์ตที่เหมาะกับแต่ละช่วงอายุนั้นต้องทำอย่างไร

 

อายุน้อยเสี่ยงได้มาก อายุมากเสี่ยงน้อย ๆ

      การจัดพอร์ตขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละคน ต้องดูอายุด้วย ถ้าเพิ่งทำงานไม่กี่ปี อายุงานไม่เยอะ ตามทฤษฎีเขาบอกว่าคุณลงทุนเสี่ยงมากได้ เพราะถ้าคุณลงทุนแล้วคุณเจ๊ง ก็ยังมีโอกาสทำงานเก็บเงิน หาเงินมาใหม่ได้ แต่ถ้าคุณอายุเยอะแล้ว ไม่ควรลงทุนเสี่ยง เพราะหากคุณลงทุนไปแล้วเจ๊ง โอกาสที่จะทำงานเก็บเงินมันน้อยแล้ว อีกไม่กี่ปีคุณจะเกษียณ เพราะฉะนั้นคุณต้องลงทุนที่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ

 

พอร์ตลงทุนที่ดี ควรปรับเปลี่ยนตามช่วงวัย

      ดร.พีรภัทร ยกตัวอย่างการจัดพอร์ตลงทุนแบบง่าย ๆ พอเป็นไอเดียสำหรับคนที่ต้องการเริ่มลงทุน

  • คนอายุน้อย ๆ 20 – 30 ปี เสี่ยงได้มาก อาจลงทุนในตราสารทุน 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ เช่น กองทุนหุ้น หรือ จะซื้อหุ้นรายตัวก็ได้ อีกประมาณ 20 – 30 เปอร์เซ็นต์ อาจลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร และอีกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ อาจเก็บไว้เป็นเงินฝากธนาคาร หรือ กองทุนตราสารเงิน ที่ความเสี่ยงมันต่ำมาก อันนี้คือหลักการสำหรับคนเรียนจบใหม่ ๆ เพิ่งเริ่มทำงาน ยินดีที่จะขาดทุนได้ แต่ถ้าได้กำไรก็จะกำไรเยอะ
  • วัยเริ่มมีฐานะ 30 – 50 ปี เริ่มมีหน้าที่การงานดี มีเงินลงทุนได้เยอะขึ้น อาจลดระดับความเสี่ยงลงมา ลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) สัก 40 – 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตราสารหนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ และตราสารเงินหรือเงินฝากอีก 10 – 20 เปอร์เซ็นต์
  • วัยใกล้เกษียณ 50 – 60 ปี ควรลงทุนแบบความเสี่ยงต่ำ ตราสารทุน (หุ้น) ไม่ควรเกิน 20 – 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็จะเป็นตราสารหนี้ประมาณ 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ และตราสารเงินหรือเงินฝากอยู่ที่ 10 – 20 เปอร์เซ็นต์ อายุเยอะแล้วทำไมยังต้องมีตราสารทุนที่บอกว่าเสี่ยงอยู่ 20 – 30 เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าไม่มีเลยผลตอบแทนที่ได้รับอาจจะไม่ชนะเงินเฟ้อ เราจึงยังต้องมีสินทรัพย์ตัวหนึ่งที่มีโอกาสทำกำไรได้เยอะ แต่เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ของพอร์ต

 

เช็กและปรับพอร์ตเป็นระยะ ตามแผนการลงทุน

      การปรับพอร์ตไม่ได้หมายความว่าเราเปลี่ยนตัวสินค้า แต่ต้องดูจากพอร์ตที่เราตั้งตอนแรกว่า เราต้องการมีสินทรัพย์แต่ละอย่างกี่เปอร์เซ็นต์เพื่อกระจายความเสี่ยง สมมุติเราบอกว่าเราจะลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) ไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ และตราสารหนี้อีก 40 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หุ้นราคาขึ้น ทำให้พอร์ตของเราเปลี่ยนจากหุ้น 60 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นหุ้น 80 เปอร์เซ็นต์ ตราสารหนี้ไม่ได้ลดลง เพียงแต่หุ้นโตขึ้น นั่นแปลว่า พอร์ตของคุณมีความเสี่ยงเกินสิ่งที่คุณตั้งไว้แล้ว เพราะฉะนั้นคุณควรขายหุ้นบางส่วน ทำกำไร แล้วย้ายเงินจากกองทุนหุ้นมาอยู่ที่กองทุนตราสารหนี้แทน ปรับพอร์ตให้อยู่ในสัดส่วนที่มีความเสี่ยงตามที่คุณวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ควรเช็กพอร์ตทุก ๆ ปี

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า