SHARE

คัดลอกแล้ว

บทความนี้เปิดเผยภาพและเนื้อหาส่วนสำคัญใน 4 ตอนแรกของซีรีส์ 

It’s Okay to Not Be Okay (2020) คือซีรีส์เกาหลีเรื่องล่าสุดที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะเพิ่งออกอากาศไปได้แค่ 4 ตอนเท่านั้น (ตอนล่าสุดออกอากาศ ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2563)

เล่าแบบรวบรัดที่สุดเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นจากอดีตอันเจ็บปวดของเด็กสองคนเมื่อเวลาผ่านไปคนหนึ่งกลายเป็นชายหนุ่มผู้มีความอดทนอดกลั้นสูงเขาผู้ดูแลคนไข้ในแผนกจิตเวชไปพร้อมกับดูแลพี่ชายออทิสติกที่บ้านตรงกันข้ามกับนักเขียนนิทานสาวผู้มีอาการต่อต้านสังคมขวางโลกและเอาแต่ใจเสียจนคนรอบข้างเอือมระอา

สำหรับใครที่คลุกคลีอยู่ในวงการซีรีส์เกาหลีมามากกว่า 6 ปีคงจะพอคุ้นเคยกับอีกหนึ่งซีรีส์ที่มีชื่อเรื่องพ้องกันอย่างมีนัยยะสำคัญนั่นก็คือ It’s Okay, That’s Love (2014) เปล่าเลยทั้งสองเรื่องไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกันแถมยังเป็นผลงานจากผู้กำกับคนละคนอีกต่างหากจุดร่วมเดียวที่มีนอกเหนือจากคำว่า It’s Okay ในชื่อเรื่องก็คือหัวใจของซีรีส์ที่ต้องการถ่ายทอดประสบการณ์ความคิดไปจนถึงความรู้สึกของผู้ที่มีปัญหาทางจิตและสังคมรอบข้างที่พวกเขาต้องเผชิญ

ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นวงการซีรีส์เกาหลีจะหยิบเอาเรื่องทางจิตวิทยาหรืออาการทางจิตมาเป็นแก่นสำคัญในการดำเนินเรื่องในขณะที่ซีรีส์กฎหมายซีรีส์การแพทย์เป็นกลุ่มประเภทที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าใครเพื่อนมาโดยตลอดส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเจ็บป่วยทางจิตใจนั้นเป็นโจทย์ที่ท้าทายในฐานะผู้เล่าเรื่องว่าจะถ่ายทอดอาการเหล่านั้นออกมาอย่างไรให้ดู ‘เป็นมนุษย์’ มากที่สุด

“เพราะจิตใจอันไม่ปกติของมนุษย์คือเรื่องปกติที่สุดอย่างหนึ่งบนโลกใบนี้”

ซีรีส์ทั้งสองเรื่องบอกเราไว้เช่นนั้นเพราะอย่างนั้นถึงจะเจ็บปวดหรือท้อไปบ้างก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ

อ้อมกอดผีเสื้อ

ผีเสื้อคือสัญญะสำคัญในเรื่องที่น่าสนใจเราจะได้เห็นภาพความทรงจำในวัยเด็กของโกมุนยอง นางเอกของเรื่อง ที่เอาแต่เด็กปีกผีเสื้อซ้ำๆ ด้วยแววตาเย็นชา เป็นภาพเดียวกันกับนิทานอนิเมชันในตอนต้นเรื่อง และนี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์วัยเด็กของเธอกับ มุนคังแท พระเอกของเรื่อง ที่ตกใจกับเหตุการณ์นั้นจนวิ่งหนีและไม่มายุ่งกับเธออีก 

ในบริบทแรกของเรื่องผีเสื้อจึงดูเหมือนภาพแทนของความสวยงามอันแสนเปราะบาง    และไร้ทางสู้

เมื่อมุนคังแทและโกมุนยองกลับมาพบกันอีกครั้งด้วยลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วของสองตัวละครทำให้เราได้เห็นฉากปะทะคารมระหว่างสองตัวละครอย่างไม่หยุดหย่อนกระทั่งมุนคังแทเริ่มสังเกตเห็นสภาวะที่โกมุนยองไม่สามารถควบคุมความโกรธของตัวเองได้จึงตัดสินใจสอนให้เธอรู้จักกับ “อ้อมกอดผีเสื้อ (Butterfly Hug)” ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีจิตบำบัดแบบ Eye Movement Desensitization and Reprocessing Therapy หรือ EDMR 

“หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆให้ไขว้แขนเป็นรูปกากบาทแล้วตบบ่าตัวเองสลับไปมาเบาๆทำแบบนี้จะสงบสติอารมณ์ที่พุ่งพล่านได้” 

ฉากนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่สองตัวละครเปิดใจเข้าหากันโดยมีอ้อมกอดผีเสื้อเป็นกุญแจสำคัญและนอกจากจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ของตัวละครแล้วผีเสื้อในบริบทนี้ยังช่วยพาให้คนดูได้เข้าใจโกมุนยองทั้งในแง่อาการป่วยและความต้องการอันละเอียดอ่อนในใจของตัวละคร

ตรงกันข้ามกับบรรยากาศอบอุ่นในฉากก่อนหน้าเมื่อโกมุนยองกลับไปนอนที่คฤหาสน์หลังเก่าซึ่งเธอเคยอาศัยอยู่เมื่อสมัยเด็กและต้องกลับไปเผชิญกับปัญหา Sleep Paralysis หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อผีอำในฉากนี้ซีรีส์พยายามถ่ายทอดความรู้สึกอึดอัดและทรมานของโกมุนยองผ่านทั้งภาพและเสียงจนเมื่อเธอสะดุ้งตื่นขึ้นและตัดสินใจใช้อ้อมกอดผีเสื้อเพื่อปลอบโยนตัวเองเป็นครั้งแรก 

ในบริบทที่นี้ผีเสื้อปรากฎขึ้นพร้อมกับความโดดเดี่ยวและว่างเปล่าที่โกมุนยองต้องเผชิญมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโตแม้จะเธอจะภาพลักษณ์อันแข็งกร้าวขึ้นมาเป็นเกราะกำบังแต่ในเวลาที่อ่อนแอเราย่อมโหยหาการปลอบโยนจากใครสักคนหรือถ้าไม่มีใครที่ช่วยเราได้แค่อ้อมกอดจากปีกบางๆของผีเสื้อก็ยังดี   

โลกของผู้ป่วยจิตเวช

นอกเหนือจากฉากที่ฉายภาพอาการ Sleep Paralysis ของโกมุนยองแล้ว It’s Okay to Not Be Okay ยังตั้งใจใช้เทคนิคทางภาพยนตร์อีกหลายอย่างเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดในโลกของตัวละครแต่ละคนที่ต่างก็มีปัญหาในใจที่แตกต่างกันออกไป 

ออทิสติกคือหนึ่งในอาการทางจิตเวชที่คนทั่วไปน่าจะคุ้นเคยกันมากที่สุดแต่น้อยคนที่จะเข้าใจว่าโลกที่ผู้มีอาการออทิสติกรับรู้และมองเห็นนั้นแตกต่างไปจากโลกของคนทั่วไปอย่างไรซีรีส์เรื่องนี้เลือกที่จะถ่ายทอดมุมมองดังกล่าวผ่านตัวละครมุนซังแท หรือพี่ชายของพระเอกนั่นเอง 

ฉากที่สองพี่น้องเดินทางไปยังงานเปิดตัวหนังสือนิทานเล่มใหม่ของโกมุนยองดูเผินๆอาจเหมือนฉากสั้นๆ    ที่ใช้เล่าความสดใสและไร้เดียงสาของมุนซังแท แต่ความจริงแล้วทั้งสัดส่วนภาพ การแต่งสี การทำอนิเมชันเสริม รวมถึงเพลงประกอบที่เลือกใช้ เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดมุมมองของมุนซังแทที่มีต่องานแจกลายเซ็นของ
นักเขียนในดวงใจ เพราะนี่คือเรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของมุนซังแท เป็นความตื่นเต้นที่คนดูทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้เลยหากใช้การถ่ายทำด้วยมุมกล้องแบบปกติ 

และเมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นที่งานจนวันดีๆของมุนซังแทล่มลงอย่างไม่เป็นท่าเราจึงสามารถเข้าใจความรู้สึกผิดหวังหวาดกลัวและอาการโทษตัวเองของเขาได้เป็นอย่างดีเพราะการปูพื้นฐานความเข้าใจที่มีต่อตัวละครในฉากก่อนหน้านั้นนั่นเอง

เช่นกันกับการถ่ายทอดความคิดของ ควอนกีโด ลูกชายส.ส.ของเมืองซองจินผู้มีอาการอารมณ์สองขั้ว หรือ Bipolar Disorder ในฉากที่เขาเล่าถึงวีรกรรมการปาร์ตี้สุดเหวี่ยงของตัวเองในคลับให้มุนคังแทฟัง ซึ่งขณะที่เล่านั้นตัวละครกำลังอยู่ในสภาวะแมเนีย (Mania) หรือขั้วอารมณ์ดี ซึ่งจะมีอาการแอคทีฟผิดปกติ

ภาพที่เราเห็นในฐานะผู้ชมนั้นคล้ายกับการแฟลชแบ็คซึ่งเห็นได้ทั่วไปในงานภาพยนตร์แต่ในตอนที่เรื่องกำลังจะดำเนินไปถึงตอนจบ episode เราก็ได้เห็นฉากนั้นซ้ำอีกครั้งผ่านมุมมองของมุนคังแทและนั่นทำให้เราได้สัมผัสถึงความเหงาจากก้นบึ้งหัวใจของควอนกีโดที่กำลังไขว่คว้าหาความรักความสนใจจากคนรอบตัวอย่างสุดความสามารถ

นิทานคือโลกแฟนตาซีแสนโหดร้าย

อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษก็คือวิธีการเล่าเรื่องผ่านนิทานโดยมีการ์ตูนอนิเมชันประกอบการเล่า

นิทานที่ว่านั้นมีทั้งเรื่องที่ผู้เขียนบทแต่งขึ้นใหม่โดยสอดแทรกเข้าไปในฐานะผลงานของโกมุนยองอย่างเรื่องหนุ่มน้อยผู้เติบโตมาด้วยฝันร้ายและเด็กน้อยซอมบี้ซึ่งทาง tvN ก็ได้ตีพิมพ์และนำออกมาจัดจำหน่ายจริงเพื่อให้บรรดาแฟนซีรีส์ได้เก็บสะสมนอกจากนี้ก็ยังมีนิทานคลาสสิกอีกหลายเรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงไม่ว่าจะเป็น The Red Shoes, Sleeping Beauty ฯลฯเพื่อสะท้อนกลับไปสู่เส้นเรื่องของตัวละคร 

ดังนั้นความสนุกอีกอย่างที่เราจะได้จากซีรีส์เรื่องนี้ก็คือช่วงเวลาที่เราค่อยๆขบคิดและเทียบเคียงกลับไปกลับมาระหว่างนิทานกับเรื่องราวของตัวละครแต่ละคน อย่างเรื่องเด็กน้อยซอมบี้ที่สะท้อนให้ประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัวทั้งกับเรื่องของควอนกีโดที่ถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาของครอบครัวและเรื่องในวัยเด็กของมุนคังแทกับแม่ที่ใส่ใจแต่พี่ชายผู้มีความต้องการพิเศษ

แม้ใครๆก็บอกว่าเด็กคนนี้ไร้ความรู้สึกส่วนแม่ของเขาก็ยังเข้าใจว่าลูกต้องการแค่อาหารเพื่อประทังชีวิตไปวันๆเท่านั้นแต่คำพูดแรกของซอมบี้ตัวน้อยในตอนจบของเรื่องก็ทำให้เราได้รู้ว่าแม้จะเป็นซอมบี้แต่เขาเองก็ไขว่คว้าหาความรักและอ้อมกอดอุ่นๆของแม่ไม่ต่างกัน

“ถ้าใครสักคนโดนตบเพราะห่วงต่อให้โดนตบก็ไม่รู้สึกแย่เลย… แปลกเนอะ” คำพูดดังกล่าวของควอนกีโดนั้นช่างเจ็บปวดและราวกับจงใจเสียดสีอ้อมกอดอันว่างเปล่าที่มุนคังแทได้รับจากหญิงสาวผู้เป็นแม่ 

“คังแทลูกต้องอยู่ข้างๆพี่ไปจนวันตายเลยนะแม่คลอดลูกมาเพราะแบบนั้นแหละ” เพราะในทางกลับกันถ้าใครสักคนถูกกอดทั้งที่ไม่ได้รักต่อให้ถูกกอดแน่แค่ไหนก็คงไม่อบอุ่นเลยสักนิดเดียว

“แม่ช่างอบอุ่นเหลือเกิน”​ คำพูดแรกจากปากของซอมบี้น้อยว่าไว้เช่นนั้น

  “นิทานคือโลกแฟนตาซีอันแสนโหดร้าย ที่เล่าถึงความเป็นจริงอันโหดร้ายในทิศทางตรงกันข้าม” คำพูดนี้จากคลาสเรียนวรรณกรรมของโกมุนยองเท่าให้เราเข้าใจเธอมากขึ้นเยอะทีเดียว

ในฐานะคนที่มีประสบการณ์ฝันสลายผู้ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายตั้งแต่เด็กๆโกมุนยองจึงปฏิเสธการปั้นแต่งเรื่องราวชวนฝันในนิทานที่จะทำให้เด็กๆต้องเจ็บปวดเมื่อพบว่าชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นนิทานของโกมุนยองจึงเลือกที่จะพูดถึงความยากลำบากที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอเมื่อเติบโตขึ้นอย่างตรงไปตรงมา 

It’s Okay

“มีแค่คนที่เก็บความทรงจำแย่ๆเหล่านั้นไว้ในใจและใช้ชีวิตต่อไปที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นมุ่งมั่นมากขึ้นสุขุมมากขึ้นและได้ความสุขไปครอบครองในที่สุด” คำสอนของแม่มดจากนิทานของโกมุนยองนั้นแท้จริงแล้วก็คือความเชื่อที่โกมุนยองยึดถือมาตอลดชีวิตเธอไม่ศรัทธาในคนอ่อนแอที่เอาแต่หนีปัญหาไปวันๆแต่ในขณะเดียวกันจิตใจของเธอก็บอบบางเกินกว่าจะรับมือกับเรื่องทั้งหมดภาพลักษณ์อันเย็นชาและแข็งกร้าวจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันจิตใจ

ตรงกันข้ามกับมุนคังแทที่ถึงแม้จะมีอดีตที่เจ็บปวดไม่แพ้กันแต่ความอดทนในแบบของเขากลับแตกต่างจากความอดทนของโกมุนยองอย่างสิ้นเชิงมุนคังแทเลือกที่จะกดทุกความรู้สึกเอาไว้ภายในและแสดงออกด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านต่อทุกปัญหารอบตัวเขาต้องการแค่กำลังใจจากพี่ชายเท่านั้นเพื่อที่จะสามารถทำงานและใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวัน

โลกของมุนคังแทจึงดูปกติและเรียบง่ายอย่างที่สุดเขานั่งรถเมล์ไปโรงพยาบาลทำงานอย่างตั้งใจและคอยโทรศัพท์หาพี่ชายเมื่อมีเวลาว่างสวนทางกับชีวิตประจำวันของโกมุนยองที่สุดโต่งไปเสียทุกเรื่องตั้งแต่การขับรถฉวัดเฉวียนชอบขโมยของมีคมแถมยังแต่งตัวสไตล์กอธิคตลอดเวลา 

“ทำไมถึงใช้ชีวิตน่าเบื่อแบบนั้นถ้าเก็บกดเอาไว้ตลอดอาจจะป่วยเอาได้นะถ้านายอยากเล่นสนุกก็เล่นสิ” โกมุนยองพูดกับมุนคังแทพร้อมกับตราหน้าว่าเขามันก็แค่คนเสแสร้งที่ไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

“ที่เธอเดือดตอนนี้เพราะรู้สึกยังไงกันแน่เธอเองก็ไม่รู้ในใจเธอมันว่างเปล่าแค่ส่งเสียงไปอย่างนั้น”
มุนคังแทเองก็ต่อว่าโกมุนยองเช่นกันเมื่อเธอพยายามสร้างความวุ่นวายให้คนรอบข้าง

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นจุดร่วมที่น่าสนใจของตัวละครที่พยายามปกป้องจิตใจอันเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะในแบบของตัวเองโดยที่ต่างตนต่างก็คิดว่าคงไม่มีใครบนโลกนี้ที่เข้าใจพวกเขาได้อีกแล้ว

“เธอรู้อะไรเกี่ยวกับฉันคิดว่ารู้ดีนักหรือไงถึงได้ชอบมายุ่งนัก”

“ต่อให้นายตายก็ไม่เข้าใจฉันเหมือนกัน” 

แต่มุมมองที่ขัดแย้งซึ่งกันและกันนั่นเองที่ช่วยกระตุ้นเตือนให้ต่างคนต่างเปิดใจและเริ่มเยียวยาตัวเองได้มากยิ่งขึ้นมุนคังแทหัดที่จะยอมรับความรู้สึกด้านลบที่เขามีต่อครอบครัวทีละนิดเห็นได้ชัดจากตอนที่เขาแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อพี่ชายด้วยการขึ้นเสียงเป็นครั้งแรกส่วนโกมุนยองเองก็กล้าที่จะยอมรับจิตใจที่อ่อนแอของตัวเองและโถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของมุนคังแทที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความเต็มใจ

괜찮아 (เควนชานา) หรือ It’s Okay ในชื่อเรื่องนั้นคือคีย์เวิร์ดสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตัวละครทั้งสองในวันที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะยอมรับและแสดงออกความรู้สึกในใจอย่างตรงไปตรงมาเมื่อนั้นเขาจะเข้าใจ
คำว่า “ไม่เป็นไร” และรับมือกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้อย่างแข็งแกร่งกว่าที่เคย   

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า