ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้เพิกถอนคำสั่ง ก.คลัง ปลด ‘วิชัย จึงรักเกียรติ’ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร ออกจากราชการ กรณีโอนหุ้นชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษี
วันที่ 6 ส.ค. 2563 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง สั่งเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ลดโทษนายวิชัย จึงรักเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จากไล่ออกเป็นปลดออกจากราชการ ในกรณีที่นายวิชัย งดเว้นการคำนวณภาษีกับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ให้นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรม เมื่อปี 2540
โดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษา แก้คำพิพากษาของ ศาลปกครองกลาง (ชั้นต้น) ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 658/2551 ที่ลงโทษนายวิชัยจากไล่ออกจากราชการเป็นปลดออกจากราชการ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2549 ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับ และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา โดยควรคืนสิทธิประโยชน์ที่นายวิชัยพึงมีพึงได้ตามกฎหมายแก่นายวิชัยโดยเร็ว
เนื่องจากศาลปกครองสูงสุด เห็นว่า สำนักงานกฎหมาย กรมสรรพากร ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีอากร แต่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับการวินิจฉัยตีความกฎหมาย ประกาศ คำสั่ง ระเบียบที่เกี่ยวกับภาษีอากร ซึ่งการจะพิจารณาว่าการให้ความเห็นในลักษณะใดเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำผิดวินัยฐานใดหรือไม่ ต้องพิจารณาเจตนาและพฤติการณ์ในขณะที่ผู้นั้นมีความเห็น ซึ่งกรณีที่นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ได้รับโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) จากคุณหญิงพจมาน ชินวัตรนั้น สำนักตรวจสอบภาษีได้พิจารณาว่าการโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการยกหุ้นให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีถือเป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (10)แห่งประมวลรัษฎากร จากนั้นสำนักกฎหมายได้พิจารณาให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว โดยอ้างอิงแนวความเห็นของกรมสรรพากร และคำพิพากษาศาลฎีกาที่มีความเห็นสอดคล้องกับกรณีที่สำนักตรวจสอบภาษี อีกทั้งไม่ปรากฏพยานใดในสำนวนคดีที่พิสูจน์ได้ว่า นายวิชัยได้รับประโยชน์ที่มิควรได้จากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
ดังนั้นจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าพฤติการณ์ของนายวิชัยเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดและปลัดกระทรวงการคลังมีคำสั่งปลดออกจากราชการนั้นจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของ ป.ป.ช.ไม่อาจรับฟังได้ ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าว และกำหนดข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธรกสนดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา