
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกตอนหนึ่งว่า ตนต้องพูดให้ประชาชนเข้าใจ จะถูกว่าก็ต้องอดทน ทุกเรื่องตนอดทนมาเยอะ เพื่อใคร เพื่อประเทศชาติประชาชนของเรา ถ้าตนไม่ทำแล้วใครจะทำและทำเมื่อไร ถ้ารอวันหน้า เปลี่ยนรัฐบาลเลือกตั้งใหม่ กว่าจะถึงวันนั้นวันนี้จะตายกันหมดใช่หรือไม่ ทำวันนี้เพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่าไม่ดีหรือ ค่อยๆ ไปแล้วหลังจากนั้นก็จะไปได้เอง
“ประเทศไทยผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งเยอะแยะ ข้อสำคัญคือความรักความสามัคคีของคนในชาติ ตีกันไปตีกันมาจนมันล้มไปทั้งระบบมันได้ไหมเนี่ย”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ก็มาดูกันเรื่องงบประมาณฝ่ายความมั่นคงเป็นหลัก ไม่รู้ว่าความตั้งใจคืออะไร ตนไม่พูด งบประมาณของกระทรวงอื่นท่านก็ตัดของเขาอีก ทั้งที่กระทรวงเหล่านั้นก็ดูแลประชาชน แล้วก็มาจ้องงบนี้เข้าไปด้วย สรุปประเทศเดินหน้าไม่ได้ทั้งหมด
“แล้วรู้ไหมงบประมาณตัดแล้วไปไหน เราไปทำอย่างอื่นได้ไหม กฎหมายเขาเขียนว่าอย่างไร มันก็ตกหมด ไม่ใช่มาอยู่งบกลางได้เมื่อไร หรือไม่ก็ต้องไปทำโครงการของเจ้ากระทรวงเดิม เข้าใจตรงนี้กันซะบ้างเรื่องการทุจริต โปร่งใสก็พยายามทำอย่างเต็มที่ ไม่มีนโยบายไปทุจริตกับใครทั้งสิ้น พรรคร่วมรัฐบาลก็ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน”

“หลายคนมองผมมาแบบเผด็จการ ต้องมองย้อนกลับไป ไม่อยากจะพูดทบทวน ไม่ได้อยากให้ทุกคนถือว่าเป็นบุญคุณ มันไม่ใช่”
“ผมเห็นชาติเป็นอย่างนี้ ไม่ปลอดภัย ผมก็ต้องเข้ามา แล้ววันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ท่านลืมหมดแล้วหรือไง ลืมหรือยังล่ะ ลืมหมดแล้วเหรอ ผมเข้ามาด้วยอะไร เพราะอะไร ทำไมถึงต้องเข้ามา อย่าลืมสิครับ”
“แล้ววันนี้ผมอะไรมามันมีความก้าวหน้าบ้างไหม หลายๆ อย่างดีขึ้นมาโดยตลอด เป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคใหม่ของเรา 4.0 แล้วใครเป็นคนทำ ผมเป็นคนทำมาทั้งนั้น 4.0 ที่ว่ามานี้ นโยบาย ยุทธศาสตร์ เดินหน้ามาตามกรอบกติกาทั้งหมดที่เดินผ่านมา จนถึงวันนี้ ถ้าไม่ทำวันนั้น ถ้าผมไม่อยู่ วันนี้มันก็ไม่เกิด มันยังไม่ได้ทำหรอก เพราะมัวสาละวนแก้ปัญหาอยู่อย่างนี้ การเมืองบ้าง อะไรบ้าง แต่ผมไม่มีการเมือง แต่ก็ต้องทำงานร่วมกับการเมืองเขา ฉะนั้นก็ต้องไปด้วยกันให้ได้”
“ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตยที่มีรูปแบบของเรา แล้วไม่ได้ไปผิดกับที่อื่น ทำไมเราต้องทำเหมือนคนอื่นทั้งหมดล่ะ แล้วความเป็นไทยของเราหายไปไหน”
“ถ้าจะเอาชนะคะคานทางการเมือง ผมว่าประเทศชาติมันล่มสลาย ถ้ามันเกิดอย่างนั้นขึ้นจริง ก็รอดูก็แล้วกัน แล้วทุกคนจะต้องอยู่บนแผ่นดินที่ร้อนระอุลุกเป็นไฟ ก็ว่ากันไปแล้วกัน ผมก็สุดกำลังสติปัญญาของผมแล้ว ถ้าจะถึงตอนนั้นอีกก็”