SHARE

คัดลอกแล้ว

แอปพลิเคชันติดตามตัว ถูกมองว่าเป็นตัวช่วยสำคัญในการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งหลายประเทศได้พัฒนาขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่พัฒนาแอปฯ ‘ไทยชนะ-หมอชนะ’ ที่กำลังเป็นประเด็นในตอนนี้

วันนี้ workpointTODAY จะพาไปดูแอปฯ ติดตามตัวของสิงคโปร์ ที่ถูกมองว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน แต่ด้วยความสำเร็จนี้เอง ทำให้ระบบนี้กำลังถูกถกเถียงอย่างหนัก เพราะบางฝ่ายมองว่า รัฐบาลสิงคโปร์กำลังใช้ประโยชน์จากแอปฯ ติดตามตัว มากกว่าแค่การติดตามกลุ่มเสี่ยงติดโรคโควิด-19

?? สิงคโปร์เป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่พัฒนาระบบติดตามตัวเพื่อยับยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 มาใช้ โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า ‘TraceTogether’ ให้ประชาชนดาวน์โหลดลงในสมาร์ทโฟน

?? แอปฯ ‘TraceTogether’ ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะชาวสิงคโปร์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้จะมีปัญหาการใช้งานในตอนแรก แต่ผู้พัฒนาก็แก้ปัญหามาโดยตลอด ยกเว้นปัญหาหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาใหญ่คือ แอปฯ ‘TraceTogether’ สามารถใช้งานได้กับผู้ที่มีสมาร์ทโฟนเท่านั้น ผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนหรือไม่สะดวกดาวน์โหลดแอปฯ นี้จึงไม่อยู่ในระบบติดตามตัว

?? การแก้ปัญหานี้ของรัฐบาลสิงคโปร์ คือการพัฒนาอุปกรณ์ติดตัวชนิดหนึ่งเรียกว่า ‘TraceTogether Token’ โดยอุปกรณ์นี้จะมีลักษณะเป็นกล่องสีเหลี่ยมสีขาว คล้ายกับกล่องหูฟัง AirPod

?? ‘TraceTogether Token’ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออุดจุดอ่อนของแอปฯ โดยตรง เพราะมีข้อดีคือ ขนาดเล็ก พกพาง่าย ไม่ต้องดูแลรักษามาก และที่สำคัญคือถ้ามีอุปกรณ์ชนิดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องโหลดแอปฯ ในสมาร์ทโฟน เพราะมันจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลติดตามตัวแทน

?? สำหรับหลักการทำงานของทั้งแอปฯ และอุปกรณ์ ‘TraceTogether’ จะทำงานโดยอาศัยสัญญาณบลูทูธจับสัญญาณกับคนอื่นๆ เมื่ออยู่ในระยะที่ใกล้กัน ดังนั้นถ้ามีใครป่วยโรคโควิด-19 ระบบจะมีข้อมูลว่าผู้ป่วยเคยไปใกล้ชิดกับใครบ้าง ทำให้รัฐบาลติดต่อกลุ่มเสี่ยงมาตรวจโรคได้อย่างรวดเร็ว

?? การเริ่มต้นใช้งานทั้งแอปฯ และอุปกรณ์ ‘TraceTogether’ ผู้ใช้จำเป็นต้องลงทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคล เช่น หมายเลขโทรศัพท์และหมายเลขประจำตัวประชาชน แต่รัฐบาลสิงคโปร์ยืนยันว่า ข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกส่งต่อกันระหว่างบลูทูธ

?? สำหรับข้อมูลที่ได้จากบลูทูธจะถูกส่งไปเก็บในเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยและเข้ารหัสไว้เป็นอย่างดี โดยจะจัดเก็บไว้เป็นเวลา 25 วัน ข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบทันที นอกจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์ยังไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนนี้โดยตรง ต้องร้องขอให้มีการเปิดเผยข้อมูลในกรณีพบผู้ป่วยโควิด-19 เท่านั้น

?? เช่นเดียวกับผู้ที่พกอุปกรณ์ ‘TraceTogether’ ที่แม้จะไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเหมือนสมาร์ทโฟน แต่ข้อมูลก็จะถูกเก็บอยู่ในเครื่อง และจะถูกลบทันทีถ้าครบ 25 วัน

?? การออกแบบแอปฯ และอุปกรณ์ ‘TraceTogether’ ที่ครอบคลุมคนทุกกลุ่ม ทำให้ระบบติดตามตัวของสิงคโปร์นี้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยข้อมูลล่าสุดมีชาวสิงคโปร์ที่ดาวน์โหลดแอปฯ หรือพกพาอุปกรณ์ ‘TraceTogether’ มากถึงกว่า 4.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 78% ของประชากรทั้งประเทศ โดยรัฐบาลยืนยันว่า จะเร่งขยายให้มีผู้ใช้ระบบติดตามตัวนี้มากขึ้นอีก

?? อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบติดตามตัวของสิงคโปร์ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่แรกแล้วถึงความเป็นส่วนตัวของประชาชน เพราะแม้รัฐบาลจะยืนยันถึงการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลใดๆ ในโทรศัพท์ รวมทั้งไม่ได้เก็บข้อมูลการเดินทางจากจีพีเอส และข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตด้วย แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ถ้าในอนาคต รัฐบาลสิงคโปร์ต้องการเก็บข้อมูลจริงๆ ก็สามารถทำได้ไม่ยาก

?? ดร.ไมเคิล วีลด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีประจำมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) ยกตัวอย่างว่า ถ้ารัฐบาลสิงคโปร์ต้องการเข้มงวดมาตรการกักตัวหรือจำกัดการเดินทางประชาชนก็สามารถทำได้ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์บลูทูธตามสถานที่ต่างๆ เพื่อตรวจจับว่ามีใครผ่านในบริเวณนั้นๆ บ้าง เท่านี้ก็จะทราบว่า มีใครออกจากเคหสถานหรือเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่ควรไปหรือไม่

?? นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนที่ไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลสิงคโปร์ โดยมองว่ารัฐบาลต้องการสอดแนมประชาชนอยู่แล้ว และข้อมูลต่างๆ ที่แม้จะยืนยันว่าปลอดภัยและถูกเข้ารหัสเอาไว้ แต่สุดท้ายหากรัฐบาลต้องการข้อมูลก็สามารถทำได้อยู่ดี

?? ความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวผู้ใช้ถูกพูดถึงอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีความพยายามของรัฐบาลสิงคโปร์ที่จะขยายขอบเขตการใช้งานระบบ ‘TraceTogether’ จากเดิมที่ใช้เฉพาะการติดตามกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 มาเป็นการติดตามผู้กระทำผิดในข้อหาอุกฉกรรจ์ด้วย

?? รัฐบาลสิงคโปร์เปิดเผยว่า จะผลักดันร่างกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ใช้ระบบติดตามตัว ‘TraceTogether’ ติดตามผู้กระทำผิด โดยยืนยันต่อสาธารณะว่า จะใช้เฉพาะในข้อหาร้ายแรง เช่น เหตุฆาตกรรม การก่อการร้ายและเหตุข่มขืน เป็นต้น

?? หลายฝ่ายออกมาคัดค้านแนวคิดนี้ของรัฐบาลสิงคโปร์ เพราะนอกจากจะไม่มั่นใจว่า ร่างกฎหมายฉบับใหม่จะให้อำนาจรัฐบาลเข้าถึงข้อมูลในระบบ ‘TraceTogether’ มากน้อยแค่ไหนแล้ว หลายคนยังกังวลว่า นี่จะเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของระบบ ‘TraceTogether’ และทำให้มีผู้ใช้น้อยลง ซึ่งจะส่งผลต่อการควบคุมโรคโควิด-19 ในสิงคโปร์ด้วย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า