ศบค.เผย ไทยติดโควิดรายใหม่ 186 ราย ห่วงจับจ่ายช่วงตรุษจีน

ศบค.เผย ไทยติดโควิดรายใหม่ 186 ราย แจง คลัสเตอร์แม่ค้าหมูเจอแล้ว 87 ราย ส่วนเคสจุฬาฯ แนวโน้มสูงว่าจะติดอีก 9 ราย รับ ห่วงจับจ่ายช่วงตรุษจีน วอนตั้งการ์ดสูงสุด หรือจับจ่ายทางออนไลน์แทน

วันที่ 8 ก.พ. 2564 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวันว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 186 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 176 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 141 ราย ในจำนวนนี้มาจาก จ.สมุทรสาคร 132 ราย กทม. 3 ราย นครปฐม 1 ราย ปทุมธานี 4 ราย เพชรบุรี 1 ราย  และมาจากการค้นหาเชิงรุก 35 ราย ในจำนวนนี้เป็นการค้นหาเชิงรุกที่ จ.สมุทรสาคร 31 ราย และสมุทรสงคราม 4 ราย นอกจากนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 10 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสม 23,557 ราย หายป่วยสะสม 17,410 ราย อยู่ระหว่างรักษา 6,068 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ยอดสะสมคงที่ 79 ราย ทั้งนี้ สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย ที่ กทม. เป็นเจ้าหน้าที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากการสอบสวนพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ ซึ่งมี 9 รายที่มีแนวโน้มจะติดเชื้อโควิด-19 โดยคณะกรรมการโควิด-19 จุฬาฯ มีการสอบสวนวงจรการแพร่เชื้ออย่างเข้มงวด เพื่อกำหนดผู้มีความเสี่ยงภายในระยะ 14 วันก่อนวันที่ 6 ก.พ. 2564 ที่พบผู้ติดเชื้อ ขณะที่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงนั้น จะให้ลาหยุดกักตัวเป็นเวลา 14 วัน จะมีการทำความสะอาดพื้นที่ โดยคณะกรรมการโควิด-19 จะดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด

พญ.อภิสมัย กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีแม่ค้าขายหมูที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ตอนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งคลัสเตอร์ จากการสอบสวนโรคพบว่า แม่ค้าขายหมูรายนี้เดินทางไปหลายจังหวัด พักอาศัยอยู่ที่ อ.อัมพวา แต่ไปรับหมูจาก จ.ราชบุรี และนำไปขายของที่ตลาดรถไฟสมุทรสาคร พบว่าติดเชื้อวันที่ 28 ม.ค. 2564 เมื่อตรวจคัดกรองพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่เป็นลูกสะใภ้ ติดเชื้อเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2564 แม่ค้าคนดังกล่าวเดินทางไปกลับเช่นนี้ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.-4 ก.พ. 2564 ทำให้มีผู้ติดเชื้อไปแล้ว 87 ราย เชื่อมโยงไปในหลายจังหวัด ซึ่งที่ชัดเจนแล้ว ได้แก่ สมุทรสาคร 22 ราย เพชรบุรี 5 ราย กทม. 1 ราย ราชบุรี 1 ราย และสุพรรณบุรี 1 ราย เนื่องจากผู้สัมผัสใกล้ชิดเดินทางในลักษณะข้ามจังหวัดใกล้เคียงกัน และมีบางส่วนใช้บริการขนส่งสาธารณะด้วย อย่างไรก็ตาม ช่วงสิบกว่าวันที่ผ่านมา มีการระดมสรรพกำลังตรวจเชิงรุกใน จ.สมุทรสาคร ทำให้พบผู้ติดเชื้อจำนวนสูงมาก แต่ตอนนี้ที่พบผู้ติดเชื้อจากการค้นหาเชิงรุกน้อยลงไม่ใช่เป็นเพราะเราค้นหาน้อย แต่ค้นหาแล้วเจอเชื้อน้อยลง ขณะนี้เราไม่ได้ค้นหาเชิงรุกใน จ.สมุทรสาครวันละเป็นหมื่นรายแล้ว แต่ยังคงค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง เพียงแต่จะเปลี่ยนรูปแบบ เนื่องจากเราค้นหาเชิงรุกในโรงงานที่มีผู้ติดเชื้อเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ไปหมดแล้ว สัปดาห์นี้จะปรับรูปแบบไปค้นหาเชิงรุกในโรงงานที่มีผู้ติดเชื้อน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ เบื้องต้นจะค้นหา 100-150 เคสต่อโรงงาน วันละ 50 โรงงาน หรือประมาณ 5,000 ราย ขอให้มั่นใจว่ายังคัดกรองต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความมั่นใจ เพื่อนำไปสู่การผ่อนคลายและกลับสู่ปกติโดยเร็ว

พญ.อภิสมัย กล่าวด้วยว่า ในส่วนของ กทม.ยังคงค้นหาเชิงรุกในโรงงานอย่างต่อเนื่อง กรมควบคุมโรคทำงานโดยอาศัยสถิติและการเรียนรู้เชิงวิชาการเป็นหลัก โดย กทม.กำหนดให้โรงงานเป็นหนึ่งในพื้นที่คัดกรองเชิงรุกโดย ในมีการตรวจคัดกรองโรงงานใน กทม.ไปแล้ว 123 แห่ง ตรวจพนักงานไปแล้ว 13,480 ราย พบผู้ติดเชื้อ 54 ราย  คิดเป็น 0.4 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งเกิดคำถามว่า เมื่อเราสุ่มตรวจในโรงงาน แล้วในชุมชนจะปลอดภัยหรือไม่ เนื่องจากบุคลากรต้องมีการเดินทางและใช้ชีวิตในชุมชน ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคทำงานอย่างหนักทั้งเข้าไปดูสภาพแวดล้อมในโรงงานและสำรวจในชุมชน  โดยมีหลักในการตรวจจุดเสี่ยงและเก็บเป็นตัวอย่างอุปกรณ์ที่ต้องใช้ร่วมกัน เช่น เครื่องสแกนนิ้ว ลูกบิดประตู ขันน้ำ ก๊อกน้ำ จักรเย็บผ้า พบว่ามีการทำความสะอาดได้ดี ไม่พบเชื้อ โดยมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังส่วนบุคคลยังเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนยอดผู้กักตัวในสถานที่กักตัวทุกรูปแบบ มีจำนวน 194,452 ราย ในจำนวนนี้ทำให้เราเห็นภาพการเดินทางเข้าออกประเทศของนักธุรกิจไทยที่ต้องติดต่อธุรกิจ และนักศึกษา ขณะที่การฉีดวัคซีนในต่างประเทศ ข้อมูลเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการฉีดไปแล้ว 73 ประเทศ รวม 128 ล้านโดส  ประเทศสหรัฐอเมริกามีฉีดวัคซีนสูงสุด มีประชากร 8.81 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้ว 2 ครั้ง โดยหลายประเทศเริ่มมีการพูดคุยกันว่า เราควรกำหนดมาตรการที่อนุญาตให้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว เดินทางออกนอกประเทศได้และถ้าได้ควรจะเป็นประเทศใด และแต่ละประเทศควรจะมีมาตรการป้องกันอย่างไร จะต้องกักตัวหรือไม่ โดย ศบค. และกระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด แต่การตัดสินใจจะออกมาตรการใดออกมา ศบค. ต้องไตร่ตรอง คิดให้หนัก และคิดให้ดี และต้องฟังองค์การอนามัยโลก (WHO) ด้วย

สำหรับการขอความร่วมมือประชาชนให้เข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้น พญ.อภิสมัย กล่าวว่า เทศกาลตรุษจีนถือเป็นเทศกาลมงคล และหลายคนเฝ้ารอคอย จึงต้องขอความร่วมมือให้ทุกคนตั้งการ์ดสูงสุด รวมถึงเรื่องการจับจ่ายใช้สอย เป็นสิ่งที่ ศบค. มีความเป็นห่วงสูงสุด ขอให้ระมัดระวัง เพราะที่ตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นมีคนไปจำนวนมาก มีการนำเสนอมาตรการที่อาจจะช่วยลดความเสี่ยง เช่น ให้อั่งเปาออนไลน์ อวยพรโดยนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือแม้แต่การจับจ่ายใช้สอยผ่านทางออนไลน์ รวมถึงเทศกาลวาเลนไทน์ ขอให้รักษาระยะห่าง จะได้รักกันอยู่นานๆ อย่างไรก็ตาม ในการประชุม ศบค.ชุดเล็ก มีการรายงานของกระทรวงแรงงานว่า ในวันที่ 13 ก.พ. 2564 จะเป็นวันหมดเขตการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว และในวันที่ 14 ก.พ. 2564 ถ้ายังไม่ไปรายงานตัวจะถือว่ามีความผิด โดยตัวเลขล่าสุดที่แรงงานมาขึ้นทะเบียนแล้วจำนวน 416,769 คน โดยเป็นแรงงานที่มีนายจ้าง 384,102 คน ไม่มีนายจ้างอีก 32,667 คน