SHARE

คัดลอกแล้ว

ไทยยูเนี่ยนลุยธุรกิจโปรตีนทางเลือก ‘Plant-based Food’ ตอบโจทย์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ ตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้า รายได้แตะ 1.6 แสนล้านบาท เดินหน้าสนับสนุนโครงการสเปซ-เอฟ ล่าสุดลงทุนในสตาร์ทอัพแล้ว 6 บริษัท พร้อมเผยกำลังศึกษาผลิตภัณฑ์อาหารจากกัญชง พร้อมผลิตจำหน่ายหากกฎหมายลูกชัดเจน

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายใน 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้ในอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% คาดว่าจะมีรายได้แตะ 1.6 แสนล้านบาท โดยไม่ได้เน้นการเติบโตจาก Top line มากมาย ซึ่งมั่นใจว่าจะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง จากปี 2563 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1.32 แสนล้านบาท ในอนาคตจะเน้นไปที่ธุรกิจที่ทำอัตรากำไรที่สูงมากขึ้น จากภาพรวมธุรกิจใหม่ ๆ นวัตกรรม และสตาร์ตอัพ มากกว่าธุรกิจหลัก

โดยปี 2564 นี้ วางแผนการลงทุนที่ระดับ 6,500 ล้านบาท ใน 3 โครงการหลัก ซึ่งในปีนี้จะเริ่มเห็นการลงทุนใน Plant-based Food (โปรตีนทางเลือก) โดยมองว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ทุกบริษัทให้ความสำคัญและสนใจ ไทยยูเนี่ยน มองว่าเป็นอาหารทางเลือกให้ผู้บริโภค คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและรักษ์โลก คาดว่าปี 2564 จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

“สิ่งที่แตกต่างของ Plant-based Food คือทานไปเหมือนเนื้อสัตว์นั้นๆ เลย ทั้งรสชาติและรายละเอียด ตอนนี้เรามีทั้งซีฟู้ดและหมูด้วย ข้อดีของ Plant-based คือจะเป็นอะไรก็ได้ เพราะไม่ใช่หมูจริง ไม่ใช่เนื้อจริง แต่จะต้องแข่งกันที่เทคโนโลยี มันจะต้องทานแล้วเหมือนและอร่อยเหมือนของจริง ไม่ใช่ทานแล้วเหมือนกินเต้าหู้”

ในปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนในธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูง เช่น ธุรกิจอินกรีเดียนท์ ธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยีอาหาร รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ยูนีกโบน (UniQTMBONE) ผงแคลเซียมบดละเอียดจากกระดูกปลาทูน่า ไม่มีกลิ่นรส จึงไม่เปลี่ยนแปลงรสสัมผัสในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทำให้สามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของอาหาร แคปซูล อัดเม็ด หรือเป็นสารอาหารเพิ่มลงในอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยไทยยูเนี่ยนได้เปิดไลน์เครื่องจักรการผลิตใหม่ในโรงงานสงขลา แคนนิ่ง ที่จังหวัดสงขลา

ในส่วนของการทำงานกับสตาร์อัพ ไทยยูเนี่ยนเดินหน้าสนับสนุนโครงการสเปซ-เอฟ อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยสเปซ-เอฟนี้เป็นโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตทางธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับโลกที่ทางบริษัทฯ ได้ร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2562 เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ของสตาร์ทอัพและนวัตกรรมให้เกิดขึ้นและนำไปสู่การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนในสตาร์ทอัพ 6 บริษัทด้วยกัน ทั้งนี้ ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนอีก 2 แห่งที่เน้นธุรกิจใหม่ๆ ในการนำนวัตกรรมเข้ามาเป็นหลักในการทำธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน  ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ลงทุนในสตาร์ทอัพ 4 บริษัทด้วยกัน  โดยสามบริษัทแรกจากโครงการสเปซ-เอฟ ได้แก่  มันนา ฟู้ดส์ บริษัทโปรตีนทางเลือก อัลเคมี ฟู้ดเทค ธุรกิจนวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยและ บริษัท ไฮโดรนีโอ บริษัทเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  ส่วนบริษัทที่สี่คือ วิสไวร์ส นิวโปรตีน อีกหนึ่งบริษัทเงินทุนสัญชาติสิงคโปร์ ที่ทำธุรกิจบริหารกองทุนที่มองหาโอกาสความร่วมมือและร่วมลงทุนในเทคโนโลยีอาหาร

ถึงแม้ว่าตลาดโปรตีนทางเลือกในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่สำหรับตลาดสินค้าประเภทดังกล่าวในระดับโลกนั้นถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่สูงทีเดียว โดยปัจจุบันตลาดโปรตีนทางเลือกของโลกนั้นมีขนาดถึง 12,800 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีแนวโน้มว่าจะเติบโตในช่วงระหว่าง ปี 2562-2568 ถึง 6.8% เฉลี่ยต่อปี

นอกจากนี้ นายธีรพงศ์ ยังเปิดเผยว่าไทยยูเนี่ยน มีความสนใจผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพืชกัญชง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาในข้อกฎหมาย ในการนำน้ำมันจากกัญชงเพื่อประกอบอาหาร หากกฎหมายลูกมีความชัดเจน บริษัทมีความสนใจจะทำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ต่อไป

 

สำหรับรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ของไทยยูเนี่ยน มียอดขายอยู่ที่ 33,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9 % (เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนหน้า)  มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,938 ล้านบาท สูงขึ้น 26.1 % และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.9 %

โดยธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขายอยู่ที่ 14,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8 % ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 8 % อยู่ที่ 5,287 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารกระป๋องที่สามารถเก็บไว้ได้นานมากขึ้นในช่วงที่ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ดีธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขาย 13,738 ล้านบาท  ลดลง 6.5 % ลดลงเล็กน้อยในไตรมาสสุดท้ายของปี

ส่งผลให้ผลประกอบการประจำปี 2563  มียอดขายอยู่ที่ระดับ 132,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9 %  มีกำไรสุทธิ 6,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.7 % โดยบริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผล 40 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 81.8 % รวมทั้งปีปันผล 72 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 53.2 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

“ไทยยูเนี่ยนมีผลประกอบการที่เข้มแข็งในปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม โดยเห็นว่าความต้องการผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าของไทยยูเนี่ยนนั้นสูงขึ้น เนื่องจากคนหันมาทำอาหารรับประทานเองที่บ้านบวกกับผู้บริโภคหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพและอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นด้วย ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน คู่ค้าและระบบซัพพลายเชนทั้งหมด เพื่อที่เราจะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและผลิตสินค้าที่ปลอดภัยได้คุณภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลก”

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพไปพร้อมกัน โดยให้ความสำคัญกับงานด้านความยั่งยืนของบริษัท ด้วยกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัทหรือ SeaChange® ในการทำหน้าที่สร้างมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมอาหารทะเลอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2563 บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเข้าเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ของโลกในดัชนีอุตสาหกรรมประเภทผลิตภัณฑ์อาหาร

ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการจัดอันดับติด 1 ในบริษัทที่มีผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสูงสุดในโลก ระดับโกลด์ คลาส (Gold Class) ในรายงาน The Sustainability Yearbook 2021 ของ S&P Global นับเป็น 1 ใน 5 บริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลกที่ได้ระดับโกลด์ คลาส ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร จากการประเมินด้านความยั่งยืนระดับโลกของ S&P Global ที่มีการประเมินบริษัทมากกว่า 7,000 บริษัท จาก 61 อุตสาหกรรมทั่วโลก

“ผลประกอบการปี 2563 เป็นเครื่องยืนยันว่าสินค้าของไทยยูเนี่ยนเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในด้านสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมเชื่อว่าหากทุกคนร่วมมือกันเราจะผ่านมันไปด้วยกัน และยังมั่นใจว่าไทยยูเนี่ยนจะยังคงผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกได้เป็นอย่างดีต่อไป” นายธีรพงศ์ ทิ้งท้าย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า