สิงคโปร์ยืนยันเจอคลัสเตอร์ใหม่โยงโรงพยาบาล-สนามบิน ยอดติดโควิดเพิ่มครั้งแรกในรอบ 9 เดือน

สิงคโปร์ยืนยันพบการติดเชื้อโควิด-19 แบบเป็นกลุ่มก้อนในประเทศครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยมีความเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ในโรงพยาบาลและสนามบิน 

วันที่ 30 เม.ย. 2564 หนังสือพิมพ์เดอะสเตรตส์ไทมส์รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ยืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบเป็นกลุ่มก้อน เชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ใหม่ในโรงพยาบาลตัน ต็อก เส็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยผู้ติดเชื้อในกลุ่มนี้รวมถึงแพทย์ และพยาบาล ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบครอสแล้ว  

กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จำนวน 24 รายที่พบวันนี้ แบ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 15 ราย และเป็นผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศ 9 ราย ในจำนวนนี้มี 8 รายที่มีความเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ใหม่ในโรงพยาบาลตัน ต็อก เส็ง ซึ่งพบการติดเชื้อแล้วจนถึงขณะนี้ 13 ราย

ทั้งนี้ โรงพยาบาลตัน ต็อก เส็ง ได้สั่งปิดหอดูแลผู้ป่วย 2 แห่ง และยกระดับการเฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีอาการไข้และการติดเชื้อทางเดินหายใจ พร้อมสั่งตรวจโควิด-19 ให้กับคนไข้ และบุคลากรของโรงพยาบาลทุกคน แม้จะไม่มีอาการบ่งชี้การติดเชื้อ ในทันที

สำหรับผู้ติดเชื้อในประเทศอีกหนึ่งรายที่พบในวันนี้นั้น เป็นหญิงเวียดนามวัย 39 ปี อาชีพแม่บ้านประจำอาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีความเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลแต่อย่างใด โดยผู้ติดเชื้อระบุว่า ได้สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเต็มรูปแบบทั้งหน้ากาก N95 เฟสซิลด์ และถุงมือในขณะทำงาน อีกทั้งยังได้รับการฉีดวัคซีนครบครอสแล้วเช่นเดียวกัน 

กระทรวงสาธารณสุขย้ำว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วยังมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 ได้อยู่ โดยวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง และลดอัตราการเสียชีวิตลง การสวมหน้ากากอนามัยและปฏิบัติตามมาตรการทางสังคมอย่างเคร่งครัดจึงยังคงเป็นเรื่องจำเป็น 

ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานพบการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อนที่เชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ประจำอาคารผู้โดยสารของท่าอากาศยานชางงี โดยมีผู้ป่วยอย่างน้อย 8 รายแล้วจากคลัสเตอร์นี้ 

ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่มีการรายงานดังกล่าว ถือเป็นการพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว ในช่วงที่สิงคโปร์ต้องเผชิญกับคลัสเตอร์โควิดในกลุ่มแรงงานต่างชาติ ปัจจุบันสิงคโปร์มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมในประเทศอยู่ที่ 61,145 ราย และผู้เสียชีวิต 30 ราย โดยมีผู้ป่วยที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจำนวน 397 ราย และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว 60,718 ราย