มาเลเซียพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียรายแรกในประเทศ

มาเลเซียตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธ์ุอินเดีย รายแรกของประเทศ ห่วงซ้ำระบาดหนัก ขณะยอดติดเชื้อสายพันธุ์แอฟริกายังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

วันที่ 3 พ.ค. 2564 นายแพทย์อัดฮัม บาบา รัฐมนตรีสาธารณสุขมาเลเซียยืนยัน พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.617 ซึ่งกำลังระบาดอยู่ในอินเดีย เคสแรกของประเทศ เป็นชาวอินเดีย และถูกตรวจพบตั้งแต่เดินทางมาถึงท่าอากาศยานกัวลาลัมเปอร์ โดยขณะนี้ได้เข้าสู่กระบวนการรักษาแล้ว

รมว.สาธารณสุขมาเลเซียเปิดเผยในระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (2 พ.ค.) ว่า มาเลเซียพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 3,418 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 415,012 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 12 ราย ดันยอดรวมผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 1,533 ราย

ในบรรดาผู้ป่วยรายใหม่ที่พบล่าสุดนั้น เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 10 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการติดเชื้อกลายพันธุ์ สายพันธุ์ B.1.617 จากผู้ป่วยที่ถือสัญชาติอินเดีย ถูกตรวจพบขณะดำเนินการคัดกรองที่ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ โดย นพ. อัดฮัม ระบุว่า ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ตอนนี้ทางการกำลังดำเนินการทุกขั้นตอนในการควบคุมการระบาด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน 

การตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย รายแรกในมาเลเซียนี้ มีขึ้นหลังจากที่มาเลเซียระงับเที่ยวบินจากอินเดียเข้าประเทศมาตั้งแต่วันพุธ (28 เม.ย.) และขณะนี้ทางการมาเลเซียก็ได้ประกาศห้ามการเดินทางทั้งเที่ยวบินขาเข้าและขาออกไปอินเดีย รวมถึงห้ามไม่ให้ผู้ที่เคยเดินทางไปอินเดียหรือมีความเชื่อมโยงกับอินเดียในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เดินทางเข้าประเทศ เพื่อสกัดการระบาดแล้ว

ทั้งนี้ มาเลเซียกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.117 จากสหราชอาณาจักร และสายพันธุ์ B.1.351 จากแอฟริกาใต้ ซึ่งส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะไวรัสายพันธุ์แอฟริกาใต้ซึ่งพบผู้ติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 48 รายจนถึงขณะนี้

สำหรับ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.617 ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในอินเดียนั้น ก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาระบุว่า เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถแพร่ระบาดได้เร็วขึ้นกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม ทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงขึ้น และอาจหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ โดยขณะนี้พบการระบาดไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวอย่างน้อยใน 17 ประเทศทั่วโลกแล้ว