ศบค. ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักร ถึง 31 ก.ค. เพื่อวคบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
วันที่ 21 พ.ค.2564 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวว่า ภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. เป็นประธาน ซึ่งมีข้อสรุปในที่ประชุมหลายเรื่อง
เรื่องที่ 1 ขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรคราวที่ 12 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 เพื่อการควบคุมโรค
เรื่องที่ 2 อนุมัติมาตรการด้านสาธารณสุข การจัดประชุมรัฐสภา สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 1 พ.ศ.2564 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 22 พ.ค. โดยกำหนดให้สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดการประชุม ยกเว้นแต่จะมีการผ่อนผันให้ถอดได้ในขณะอภิปราย
และมอบหมายให้กรุงเทพมหานคร(กทม.) สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เป็นหน่วยกำกับติดตามมาตราการสาธารณสุขร่วมกับกรมควบคุมโรค และให้กระทรวงสาธารณสุข จัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 2,000 โดส ซึ่งจะฉีดให้ผู้ทำงานในรัฐสภา ฉีดช่วงระหว่างวันที่ 21 – 25 พ.ค.
เรื่องที่ 3 อนุมัติการเลื่อนเปิดเทอม ส่วนใน 4 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ กทม. นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ ให้ยังคงมาตรการห้ามใช้อาคารสถานที่ เพื่อจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมากอยู่ โดยให้ใช้รูปแบบการเรียนผ่านระบบออนไลน์
ส่วนจังหวัดอื่น สามารถใช้อาคารได้ แต่ต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และสามารถใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบผสมรวม ทั้งที่โรงเรียนและแบบออนไลน์