เข้าใจร่างกายผ่าน ‘5 ตัวชี้วัดด้านสุขภาพ’ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

แม้เทรนด์รักสุขภาพจะเป็นที่นิยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาด เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจสุขภาพของตัวเองยิ่งกว่าเก่า ยิ่งในยุคที่รอบตัวเราเต็มไปด้วยเชื้อไวรัสที่ตามองไม่เห็น ต้องทำอย่างไรเราถึงจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น?

ทางออกหนึ่งคือหันมาใส่ใจความเป็นไปที่เกิดขึ้นในร่างกายของตัวเอง การหมั่นสังเกตสภาวะต่าง ๆ ของร่างกายและเฝ้าระวังไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำความเข้าใจแพทเทิร์นของร่างกายที่ปกติ จะช่วยให้เรารู้อาการผิดปกติได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงการสังเกตด้วยตา หรืออาศัยความรู้สึก แต่เป็นการใส่ใจ ‘สุขภาพเชิงลึก’ ที่ต้องอาศัยการตรวจเช็กค่าการทำงานต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย

หากเป็นสมัยก่อน กว่าเราจะรู้ได้ว่าปอดของเราทำงานเป็นอย่างไร หรือหัวใจกำลังเต้นในจังหวะที่พอเหมาะพอดีหรือไม่ ล้วนต้องเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาล เพราะมีอุปกรณ์ที่พรั่งพร้อม แต่เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ทุกอย่างตอนนี้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยฟีเจอร์ตัวชี้วัดด้านสุขภาพที่มีอยู่ใน การ์มิน สมาร์ทวอทช์ (Garmin Smartwatch) รุ่นใหม่ ที่ไม่เพียงแต่เตือนให้เรารู้ว่าร่างกายผิดปกติ แต่สามารถบอกได้ว่าแนวโน้มสุขภาพของเรากำลังดีขึ้นหรือแย่ลง เพื่อการวางแผนดูแลสุขภาพต่อเนื่องในระยะยาว

เจ้าไอเท็มของคนรักสุขภาพตัวนี้ จะมาช่วยให้การติดตามและบันทึกข้อมูลสำคัญของ ‘5 ตัวชี้วัดทางสุขภาพ’  ที่บ่งบอกสภาวะการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจสุขภาพของตนเองได้อย่างถูกต้อง ไม่ตื่นตระหนกไปกับสถานการณ์โรคระบาด โดย 5 ตัวชี้วัดทางสุขภาพจากการ์มิน สมาร์ทวอทช์ที่เรากำลังพูดถึงนี้ ได้แก่

ค่าออกซิเจนในเลือด (Pulse Ox Blood Sensors) – ตัววัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (SpO2) เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจ หลอดเลือด และการหายใจ จากการอ้างอิงของคู่มือการฝึกอบรม Pulse Oximetry ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ผู้ที่มีสุขภาพปอดอยู่ในสถานะปกติ ค่าออกซิเจนในเลือดที่ดีควรอยู่ที่ระดับ 95% – 100%  จึงเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ช่วยให้เราสันนิษฐานได้เบื้องต้นว่าระบบหัวใจ หลอดเลือด และการหายใจมีการทำงานผิดปกติ

อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Tracking) – อัตราการเต้นของหัวใจสามารถเป็นตัวบ่งชี้ได้เมื่อร่างกายมีไข้สูง เมื่ออุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ อัตราการเต้นของหัวใจจะเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้อัตราการเต้นของหัวใจยังสามารถช่วยบ่งบอกความหนัก-เบาในการออกกำลังกาย เพื่อให้เราเลือกออกกำลังกายได้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย

อัตราการหายใจ (Respiratory Tracking) – อัตราการหายใจปกติควรอยู่ที่ 12 – 20 ครั้งต่อนาที โดยปกติอัตราหายใจต่ำ จะบ่งชี้ถึงสภาพร่างกายที่แข็งแรง และอัตราการหายใจที่เหมาะสมจะช่วยลดความตึงเครียด เพิ่มสมาธิ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับได้ หากเรามีข้อมูลที่ช่วยบ่งชี้ได้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้เราปรับปรุงการหายใจได้ดีมากยิ่งขึ้น

การนอนหลับ (REM Sleep Monitoring ) – การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง นอกจากความรู้สึกหลังตื่นนอนแล้ว การมีอุปกรณ์ที่สำรวจคุณภาพการนอนที่คอยตรวจจับค่าออกซิเจนในเลือด อัตราการหายใจ และการพลิกตัวระหว่างการนอนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน จะช่วยให้เราได้รับข้อมูลเพื่อช่วยยืนยันได้อย่างถูกต้อง อัตราการเต้นของหัวใจจะอยู่ในระดับต่ำและสม่ำเสมอเมื่ออยู่ในช่วงหลับลึก ซึ่งปกติแล้วในวัยผู้ใหญ่ควรมีช่วงหลับลึกอยู่ที่ประมาณ 15% – 25% ของการนอน ถ้าหากต่ำกว่านี้เป็นไปได้ว่าประสิทธิภาพในการนอนลดลง

ระดับความเครียด (Stress Monitoring) – การตรวจจับระดับความเครียดด้วยอุปกรณ์ที่น่าเชื่อถือจะใช้ข้อมูลจากความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อประเมินระดับความเครียด ถ้าหากข้อมูลบ่งบอกว่ามีอัตราความเครียดในระดับ 51 – 100 หมายความว่าร่างกายกำลังเผชิญหน้ากับความเครียดในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพร่างกายและจิตใจ สภาวะการนอนหลับ รวมถึงการใช้ชีวิตในประจำวัน และอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

จะเห็นว่าตัวชี้วัดทั้ง 5 นี้ ผูกโยงและส่งผลกระทบถึงกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยิ่งเมื่อเรายังต้องตกอยู่ในสถานการณ์เชื้อไวรัสระบาดในปัจจุบัน การหันมาให้ความสำคัญกับค่าความเป็นไปต่าง ๆ ของร่างกายยิ่งทวีความจำเป็นมากกว่าเก่า ความเห็นจาก นพ.แอนดรูว์ อัน (Dr. Andrew Ahn) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และรังสีวิทยา โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด เผยว่า “เพราะผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการชัดเจน อุปกรณ์ที่สามารถติดตามและแจ้งระดับออกซิเจนในเลือดได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นประโยชน์มาก นอกจากระดับออกซิเจนแล้ว การสามารถตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ ยังเป็นตัวกำหนดคุณภาพการนอนหลับอีกที ตัวชี้วัดด้านสุขภาพเหล่านี้ หากหมั่นสังเกตดี ๆ จะทำให้เราสามารถเข้าใจสภาวะของร่างกาย รู้เท่าทันหากเกิดความผิดปกติ และช่วยลดโอกาสในการแพร่ระบาดหรือการติดต่อในวงกว้าง”

ขณะที่ นพ. สิระ กอไพศาล อายุรแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญโรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยว่า “เพราะไม่มีใครสุขภาพดี 100% สมาร์ทวอทช์ที่ช่วยบันทึกข้อมูลสภาวะร่างกายต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง สามารถเป็นข้อมูลอ้างอิงชั้นดีให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประกอบการวินิจฉัยโรคและตรวจสุขภาพได้ในเชิงลึก การทำงานของตัวชี้วัดทางสุขภาพ สะท้อนให้เห็นว่าร่างกายคนเราทำงานสอดคล้องและส่งผลถึงกัน ดังนั้นการสำรวจทั้ง 5 ตัวชี้วัดทางสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ก็จะนำไปสู่การเข้าใจแนวโน้มสุขภาพของตนเองได้อย่างถูกต้อง ยิ่งเรารู้อาการผิดปกติของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเร็วเท่าใด ก็ยิ่งช่วยให้เราเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงทีมากขึ้น”

การ์มิน สมาร์ทวอทช์ ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยเสริมสร้างการออกกำลังของผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบรับเทรนด์การออกกำลังกายในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสายออกกำลังกายเบา ออกกำลังกายหนัก หรือผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายที่หลากหลาย รวมถึงนักกีฬาที่ต้องการการฝึกซ้อมอย่างเต็มประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพของตนเอง การ์มิน สมาร์ทวอทช์มีให้เลือกครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์และความต้องการ ทั้งข้อมูลด้านสุขภาพที่ละเอียด ครบถ้วน และเข้าใจง่าย เมื่อรวมเข้ากับแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้อย่างยาวนานจะช่วยให้เราสามารถมอนิเตอร์การทำงานของร่างกายได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง

การสำรวจแนวโน้มสุขภาพของตนเองผ่านข้อมูลจาก 5 ตัวชี้วัดทางสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับการออกกำลังกายอย่างถูกต้องเป็นประจำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงวิกฤตโรคระบาดเท่านั้น จะช่วยสร้างเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้คนไทยสามารถเตรียมแผนการดูแลสุขภาพให้พร้อมต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ในระยะยาว

ผู้ที่สนใจนวัตกรรมเพื่อสุขภาพของการ์มิน เข้าไปทำความรู้จักพวกเขาเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3j18Ygz หรือ Facebook @TH.Garmin