งานวิจัยอ็อกซ์ฟอร์ดชี้ ฉีดแอสตร้าฯ ตามด้วยไฟเซอร์ แอนตีบอดีเทียบเท่าฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม

1.) มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ เผยแพร่งานวิจัย ‘Com-COV’ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 คนละยี่ห้อกับเข็มแรก โดยใช้วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ (Pfizer) และแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) เป็นหลัก

2.) การวิจัยจะแบ่งอาสาสมัครฉีดวัคซีนโควิด-19 ออกเป็น 4 กลุ่ม ทั้งกลุ่มที่ฉีดวัคซีนชนิดเดียวกัน และฉีดสลับยี่ห้อกัน ได้แก่

กลุ่ม A ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า (ยี่ห้อเดียวกัน)

กลุ่ม B ฉีดวัคซีนไฟเซอร์+แอสตร้าเซนเนก้า (สลับยี่ห้อ)

กลุ่ม C ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์ (สลับยี่ห้อ)

กลุ่ม D ฉีดวัคซีนไฟเซอร์+ไฟเซอร์ (ยี่ห้อเดียวกัน)

โดยระยะห่างระหว่างเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จะอยู่ที่ 4 สัปดาห์

3.) หลังฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ทีมวิจัยตรวจหาแอนตีบอดีในร่างกายของอาสาสมัคร พบมีระดับแอนตีบอดีที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้

กลุ่ม A ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า (ยี่ห้อเดียวกัน)

มีระดับแอนตีบอดี 1,392 ELU/ml

กลุ่ม B ฉีดวัคซีนไฟเซอร์+แอสตร้าเซนเนก้า (สลับยี่ห้อ)

มีระดับแอนตีบอดี 7,133 ELU/ml

กลุ่ม C ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์ (สลับยี่ห้อ)

มีระดับแอนตีบอดี 12,906 ELU/ml

กลุ่ม D ฉีดวัคซีนไฟเซอร์+ไฟเซอร์ (ยี่ห้อเดียวกัน)

มีระดับแอนตีบอดี 14,080 ELU/ml

4.) งานวิจัยชิ้นนี้ สามารถสรุปผลแบบเข้าใจง่ายออกมาเป็น 3 ประเด็น

– การฉีดวัคซีนไฟเซอร์+ไฟเซอร์ สร้างแอนตีบอดีในร่างกายมากที่สุด โดยสูงกว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า ถึง 10.1 เท่าตัว

– การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์ สร้างแอนตีบอดีใกล้เคียงกับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์+ไฟเซอร์ และสูงกว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า ถึง 9.2 เท่าตัว

– การฉีดวัคซีนไฟเซอร์+แอสตร้าเซนเนก้า สร้างแอนตีบอดีน้อยกว่าทั้งการฉีดวัคซีนไฟเซอร์+ไฟเซอร์ และการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+ไฟเซอร์ แต่ก็ยังสูงกว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า+แอสตร้าเซนเนก้า ถึง 5.1 เท่าตัว

5.) ดร.แมทธิว สเนป ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนประจำมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เปิดเผยว่า งานวิจัยชิ้นนี้ยังไม่เสร็จสิ้น เพราะเป้าหมายต่อไปคือการวัดระดับแอนตีบอดีหากทิ้งระยะการฉีดวัคซีนนานขึ้นเป็น 12 สัปดาห์ ซึ่งจะมีผลวิจัยออกมาในเดือนหน้า

ดร.สเนปตั้งสมมุติฐานว่า การทิ้งระยะฉีดระหว่างเข็มแรกกับเข็มที่สองให้นานขึ้น อาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าดีขึ้นกว่านี้

6.) นอกจากวัคซีนของไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด กำลังเริ่มทดลองในลักษณะเดียวกันกับวัคซีนยี่ห้ออื่น เช่น โมเดอร์นา (Moderna) และโนวาแวกซ์ (Novavax) ด้วย

7.) ผลการวิจัยชิ้นนี้อาจมีส่วนช่วยตัดสินใจ ในกรณีที่ประสบปัญหาวัคซีนยี่ห้อเดิมส่งไม่ทัน หรืออาจนำไปพิจารณากับความกังวลถึงผลข้างเคียงเลือดแข็งตัวในหมู่คนหนุ่มสาว หากได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็มที่ 2

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดชี้ว่า ในตอนนี้ทางเลือกที่แนะนำที่สุด ยังเป็นการฉีดวัคซีนยี่ห้อเดียวกันทั้งสองเข็มอยู่ เพราะผลการศึกษายังไม่มากพอ