แพทย์เฉพาะทาง รพ.ธรรมศาสตร์ ติดโควิด-19 ทำวิกฤตขาดบุคลากรหลักหลายคน สั่งจำกัดผู้คลอดบุตร

โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวานนี้ 6 ก.ค. 2564 ถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่วิกฤต สถิติผู้ติดเชื้อในประเทศยังอยู่ในระดับวิกฤต ทำให้บุคลากรแพทย์ด่านหน้าต้องทำงานหนักมากขึ้นหลายเท่า แต่กลับต้องมาเจอข่าวร้าย เมื่อพบแพทย์ 1 ราย พยาบาล 2 ราย ใน รพ.ธรรมศาสตร์ ส่งผลให้ผู้ร่วมงานทุกหน่วยงานต้องหยุดทำงาน กักตัว 7 วัน และเข้ารับการสวอปอีกหลายราย

ซึ่งแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด-19 รายนี้ เป็นแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งเป็นกำลังหลักของโรงพยาบาลในการดูแลรักษาผู้ป่วยวิกฤตโควิด-19 หน่วยดูแลผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ และในแผนกที่รับผู้ป่วยที่มีโรคเดียวกันมาดูแล ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้รับเชื้อจากการเข้าดูแลผู้ป่วยวิกฤตในการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับข้องกับปอดหรือไต ส่งผลให้อาจารย์แพทย์ แพทย์อายุรกรรมทั้งหมดจะต้องถูกกักตัว เข้ารับการตรวจเชื้อและหยุดปฏิบัติงานทันทีเพื่อรอผลการตรวจ

“การไม่มีกำลังรบหลักในแนวหน้าไปชั่วคราวจะทำให้พวกเราขาดกำลังสำคัญที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตร้ายแรงในอาทิตย์นี้ไปอย่างน้อยอีก 4-5 วัน แต่เรื่องสะเทือนใจก็คือการได้เห็นอาจารย์แพทย์ หรือพยาบาลที่ช่วยดูแลรักษาคนไข้โควิด-19 อย่างแข็งขันในแผนกผู้ป่วยวิกฤต ต้องหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าออกจากบ้าน เข้านอนรักษาตัวในแผนกโควิด-19 หรือใน รพ.สนาม บนเตียงที่ตัวเองเคยเป็นผู้ดูแลรักษาคนไข้ที่พักรักษาตัวมาก่อน แต่ว่า ทุกคนก็มีกำลังใจที่ดี เมื่อดูแลตัวเองจนหายหรือปลอดภัยแล้วก็จะกลับมาช่วยกันดูแลรักษาผู้ป่วยต่อไป”

ส่วนผลกระทบที่ตามมาในระดับโรงพยาบาล เมื่อเราขาดอายุรแพทย์โรคทางเดินหายใจไปเกือบทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่ง รพ.ธรรมศาสตร์ จึงจำเป็นต้องขอเลื่อนการรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดง จาก รพ. ต่างๆ ที่ขอส่งเข้ามาจนกว่ากำลังพลที่ต้องกักตัวจะกลับเข้ามาปฏิบัติงานได้ประมาณปลายสัปดาห์นี้

หวังว่าเพื่อนร่วมรบของเราในรพ.ต่างๆ ที่ประสานเข้ามาจาเข้าใจสถานการณ์

ขณะที่ รพ.ธรรมศาสตร์ ออกประกาศถึงผู้รับบริการทุกคน หลังพบผู้คลอดติดเชื้อเพิ่มขึ้นและมีบุคลากรผู้ให้บริการทารกแรกเกิดภาวะวิกฤต ติดเชื้อ จึงต้องทำการปิดหน่วยดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 2564 ทำให้สาขาสูตินรีเวชกรรม มีความจำเป็นต้องจำกัดจำนวนผู้คลอดชั่วคราว โดยรับผู้คลอด เฉพาะผู้ที่มีประวัติฝากครรภ์ที่ รพ.ธรรมศาสตร์ เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายเพื่อความปลอดภัยของผู้คลอดและบุคลากรทางการแพทย์