เรืองไกร เสนอตัดงบกลาง งบฯ ปี65 จากค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ ยินดีให้ตรวจสอบปมรถหรู

วันที่ 18 ส.ค. 2564 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เสนอให้ตัดลดงบกลาง 5 รายการซึ่งเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายบุคลากรทางภาครัฐ ดังนี้

1. เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ 4,360 ล้านบาท เสนอให้ปรับลดลง 436 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้ยังไม่สามารถประมาณการค่าใช้จ่ายที่แน่นอนของแต่ละส่วนราชการได้ เนื่องจากยังไม่ทราบว่าจะมีส่วนราชการใดเบิกจ่ายค่าเล่าเรียนบุตรจำนวนเท่าไหร่ รวมทั้งมีข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานราชการของรัฐเสียชีวิตระหว่างปีเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลนี้จึงเสนอปรับลดงบ ประกอบกับประเทศไทยกำลังตกอยู่ในความยากลำบากในระบบสาธารณสุข จึงเสนอตัดปรับลด 10%

2. เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ 310,600 ล้านบาท เสนอให้ปรับลดลง 436 ล้านบาท

3. เงินเลื่อน เงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ 11,547 ล้านบาท เสนอให้ปรับลดลง 10,000 ล้านบาท เหตุผลที่ควรปรับลดเงินเลื่อน เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่ทุกส่วนราชการต้องใช้จ่ายแต่ในขณะที่ตั้งงบรายจ่ายประจำปี ไม่สามารถประมาณการค่าใช้จ่ายแน่นอนได้

เนื่องจากยังไม่ทราบว่าปีนั้นๆ จะมีส่วนราชการใดบรรจุข้าราชการใหม่ ทำให้ไม่สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้

4. เงินสมทบของลูกจ้างประจำ 570 ล้านบาท เสนอให้ปรับลดลง 57 ล้านบาท เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายตามกฎหมายที่ทุกส่วนราชการจะต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนสมทบให้แก่สมาชิกร้อยละ 3 ในระหว่างปีงบประมาณก็มีการเข้าออกของสมาชิกทำให้ไม่สามารถคำนวณได้ชัดเจนจึงควรปรับลด

5. เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการ 72,370 ล้านบาท เสนอให้ปรับลดลง 70,000 ล้านบาท เหตุผลที่ต้องปรับลดเนื่องจากไม่สามารถประมาณการค่าใช้จ่ายตามกฎหมายที่ทุกส่วนราชการต้องจ่ายสมทบเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้

นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า การเสนอปรับลดงบประมาณแต่ละรายเป็นไปตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ และขอให้มีการโหวตทีละรายการเพราะนี่คือเนื้อหาของกฎหมาย โดยใช้วิธีคิดแบบนักบัญชี นักตรวจสอบ

ขณะที่ช่วงหนึ่งของการพิจารณางบประมาณ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ มีการชี้แจงถึงการพาดพิงของ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่มีการเรียกร้องให้ตรวจสอบกรณีรับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ขณะอยู่ในตำแหน่งกรรมาธิการงบประมาณ ตามมาตรา 144 วรรคสอง ซึ่งยินดีให้ตรวจสอบ และควรดำเนินการตามมาตรา 144 วรรคสาม ในกรณี ส.ส. มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ ส.ส.ที่มีอยู่ เห็นว่ามีการกระทำฝ่าฝืนมาตรา 144 วรรคสอง ก็เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยการเข้าชื่อ เพราะศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยภายใน 15 วัน ไม่ใช่มาวนอยู่ตรงประธานวิป รองประธานวิป ประธานสภาผู้แทนราษฎร

“ผมยินดีให้ตรวจสอบ แต่ไปให้ถูกช่อง มี ส.ส. 100 กว่าท่านเข้าชื่อไปเถอะ แล้วรีบหน่อย เพราะ 15 วันเดี๋ยวไม่ทัน ศาลรัฐธรรมนูญจะได้รีบวินิจฉัยว่าใช่หรือไม่ใช่ จะได้มีบรรทัดฐาน ต้องขอบคุณที่ตรวจสอบผม ไม่ได้ติดใจอะไรมากแต่ขอให้รีบดำเนินการ” นายเรืองไกร กล่าว