‘D.P. หน่วยล่าทหารหนีทัพ’ ออริจินัลซีรีส์เรื่องใหม่ของ Netflix ได้นำชีวิตของทหารเกณฑ์ในค่ายที่ได้พบกับมิตรภาพ แต่ก็ต้องเผชิญทั้งความรุนแรงและระบบที่บิดเบี้ยว

ภาพจาก :: Netflix
มาตีแผ่ผ่านสายตาของ ‘อันจุนโฮ’ (จองแฮอิน) พลทหารใหม่ ที่ถูก ‘พัคบอมกู’ (คิมซองกยุน) เรียกตัวมาร่วมทีมดีพี (ย่อมาจาก Deserter Pursuit) โดยต้องทำงาน ร่วมกับ ‘ฮันจุนยอล’ (คูคโยฮวาน) หัวหน้าหน่วยในการตามล่าทหารหนีทัพมาลงโทษ และอะไรที่ทำให้พวกเขายอมเสี่ยงหนีทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องถูกลงโทษ

ภาพจาก :: Netflix
- D.P. ดัดแปลงมาจากเว็บตูนเรื่อง D.P. Dog Days ที่ ‘คิมโบทง’ ผู้เขียนเว็ปตูนและบทซีรีส์ใช้ประสบการณ์ตรงจากการทำงานในหน่วยดีพีมาสร้างสรรค์เรื่องราว ทำให้ซีรีส์ 6 ตอนสามารถสะท้อนด้านมืดของค่ายทหารได้อย่างสมจริงและตรงไปตรงมา
- ถึงเรื่องจะค่อนข้างหนักและน่าสลดใจแต่ก็แทรกด้วยมุขตลกร้ายกับเรื่องราวมิตรภาพชวนอบอุ่นใจพอให้ผู้ชมผ่อนคลายได้บ้างเป็นระยะๆ และยังมีฉากแอคชั่นชวนระทึก การผสมหลายรสชาติอย่างลงตัวเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราติดตามได้ไม่เบื่อ
- ทุกตอนเราจะได้เห็นปัญหาที่ถูกซ่อนไว้หลังรั้วค่ายทหาร ทั้งความรุนแรงที่มาในรูปแบบของธรรมเนียมปฏิบัติ อย่างการเคารพรุ่นพี่ การกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ การทำร้ายเพื่อความสะใจ และการล่วงละเมิดทางเพศ ที่กลายเป็นเรื่องธรรมดาในกองทัพ

ภาพจาก :: Netflix
- ส่วนใครที่ทนถูกกระทำ หรือทนทำร้ายคนอื่นไม่ได้ก็ถูกหมายหัวว่าเป็นพวก ‘ปรับตัวไม่ได้’ หรือคนนอกคอกที่ต้องถูกแกล้งหนักกว่าเดิม ทำให้หลายคนต้องเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นผู้ล่าเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นเหยื่อและสืบทอดชุดความคิดอันบิดเบี้ยวต่อไป
- การเผชิญหน้ากับความรุนแรงเหล่านี้สร้างรอยแผลในใจให้คนมากมาย แต่เรื่องราวทุกอย่างกลับถูกฝังกลบได้โดยง่ายเมื่อพวกเขาปลดประจำการ
- ซีรีส์ยังได้เปิดเผยความฟอนเฟะในระบบอย่างการใช้เส้นสาย ทหารที่ละเลยหน้าที่ใช้เวลาราชการไปเที่ยวสถานบันเทิง นายพลที่เพิกเฉยต่อปัญหาเพื่อรักษาหน้าและกระหายความก้าวหน้าจนไม่สนใจมนุษยธรรม

ภาพจาก :: Netflix
- และถึงจะเกิดเหตุน่าสะเทือนขวัญแต่สุดท้ายเมื่อข่าวซา ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมผู้ที่ขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ถูกลงโทษ และทุกคนในค่ายทหารก็ยังใช้ชีวิตไปตามครรลองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
- สิ่งเหล่านี้ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยหลายคนหนีหรือระเบิดความรุนแรงออกมาด้วยความสิ้นหวังในระบบและต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง

ภาพจาก :: Netflix
ฉากชีวิตนอกค่ายทหารของ D.P. ก็มีความหมายที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ด้วยการสะท้อนให้เห็นว่า ระบบชนชั้น การเล่นพรรคเล่นพวก และความรุนแรงไม่ได้ฝังรากลึกอยู่แค่ในค่าย แต่แพร่กระจายอยู่ในทุกอณูของสังคม ประเด็นนี้ถูกนำเสนอผ่านฉากเล็กๆ
อย่างฉากเด็กขโมยเงินทอนอย่างหน้าซื่อตาใส แม่ที่ไม่คิดจะตรวจสอบความจริง เข้าข้างลูกและกล่าวหาผู้บริสุทธิ์ ฉากเจ้านายที่เอาเปรียบและกดขี่ลูกน้อง ในต้นและท้ายเรื่อง การกดทับทางสังคมเหล่านี้อาจะทำให้ค่ายทหารกลายเป็นพื้นที่เดียว ที่ทำให้ คนอย่าง ‘ฮวังจางซู’ ทหารที่ชอบทำร้ายรุ่นน้องพลิกจากเบี้ยล่างสู่การเป็นเบี้ยบนเป็นครั้งแรก

ภาพจาก :: Netflix
ฉากเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสะพานให้ปัญหาในค่ายทหารที่ในตอนแรกดูไกลตัวกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าทหารไม่ว่าจะดีหรือเลว ก็ต่างเป็นผลผลิตของสังคม ความรุนแรงที่เกิดในค่ายอาจจะเป็นแค่ภาพสะท้อนของสังคมภาพนอกเท่านั้น
“ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ตอนที่ผมโดนทำร้ายจะเกือบตาย ก็ไม่เห็นทำอะไร แต่กลับพยายามช่วยชีวิตสวะแบบมัน”

ภาพจาก :: Netflix
สาสน์สำคัญที่สุดอยู่ในตอนท้ายของเรื่องที่อุทิศให้แก่ ‘เหล่าผู้เฝ้ามอง’ ที่พลิกให้เห็นว่าสุดท้าย สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายถึงขีดสุด ไม่ใช่ทหารเลวๆ แต่เป็นความเพิกเฉยต่อปัญหาที่ชักใยโศกนาฏกรรมนี้อย่างเงียบเชียบ ฉากหลัง end credit ที่มีทหารมากราดยิงคนในกองทัพ เน้นย้ำให้เห็นว่าหากไม่มีการปฏิรูป ปัญหาเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นต่อไปอย่างไม่จบสิ้น
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงอาจไม่มีวันเกิดขึ้นได้ถ้าสังคมมีแต่ผู้เฝ้ามองและปล่อยให้เรื่องราวถูกลืมไปตามเวลา สิ่งนี้ทำให้ D.P. เป็นซีรีส์ที่ทำมากกว่าบอกเล่าเรื่องราว แต่กระตุ้นให้ผู้ชมลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในผู้คนที่กำลังเพิกเฉยกับปัญหาหรือไม่และถึงเวลาหรือยังที่พวกเขาจะลุกขึ้นมา ‘ทำอะไรสักอย่าง’ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง