สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศฉีดวัคซีนรั้งท้ายในกลุ่มมหาอำนาจ ถูกญี่ปุ่นที่เริ่มช้ากว่า 4 เดือนแซงหน้าไปแล้ว
วันที่ 14 ก.ย. 2564 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ญี่ปุ่นได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่ 1 ให้กับประชากรไปแล้วถึง 63.6% แซงหน้าสหรัฐอเมริกาที่ฉีดไปได้ 63.1%
ญี่ปุ่นเพิ่งจะเริ่มกระจายวัคซีนในวงกว้างเมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่าน ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เริ่มช้าที่สุดในกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ขณะที่สหรัฐฯ เริ่มฉีดให้ประชาชนตั้งแต่ธ.ค. ปีก่อน
จากตัวเลขที่ออกมานี้ ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นกลุ่มรั้งท้ายของสัดส่วนการฉีดวัคซีนในประเทศมหาอำนาจทันที ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเรื่องการเมืองจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมและกลุ่มต่อต้านวัคซีน ทำให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต้องเริ่มนำมาตรการเข้ามาบังคับใช้เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน
ในทางกลับกัน ญี่ปุ่นที่เจอปัญหาการระบาดตั้งแต่ก่อนจัดแข่งขันโอลิมปิก จนต้องงดไม่ให้ผู้ชมเข้ามาดูการแข่งในสนาม กลับกระจายวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว และก็รักษาระดับได้เป็นอย่างดี
อีกเหตุผลที่คงมองข้ามไม่ได้ คือการที่ประชาชนชาวญี่ปุ่นต่างให้ความร่วมมือกับรัฐเป็นอย่างดี แตกต่างจากสหรัฐฯ ที่มีวัคซีนเหลือเฟือ แต่กลับมีบุคคลบางกลุ่มที่ไม่ยอมเข้ารับวัคซีน หรือกระทั่งออกมาต่อต้านเลยก็มี
ปัจจุบันญี่ปุ่นทำการฉีดวัคซีนไปแล้ว 145.8 ล้านโดส มีประชากรกว่า 51% ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว โดยมีเป้าหมายว่าจะฉีดให้ได้ถึง 80% ภายในเดือนพ.ย. ที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ได้รับวัคซีนในญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้สูงอายุเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรัฐบาลยังต้องพยายามเร่งฉีดกลุ่มคนอายุน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดต่อไป