รพ.ธรรมศาสตร์ โต้ กต. เหตุยุติโมเดอร์นาบริจาค ยันไม่รู้ว่านำส่วนหนึ่งแบ่งขาย กระทบสัมพันธ์ ซึ่ง กต.ไม่เคยแจ้งให้ทราบมาก่อน
วันที่ 3 พ.ย. 2564 หลังจาก ผอ.รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ แจ้งยุติการนำเข้าวัคซีน ‘โมเดอร์นา’ บริจาคจำนวน 3 ล้านโดส จากประเทศโปแลนด์ หลัง กต.ทำหนังสือชี้แจงขั้นตอน
ต่อมากระทรวงต่างประเทศ ออกมาแจงเหตุ ดีลบริจาควัคซีน Moderna จากโปแลนด์ล่ม เพราะ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ จะขอรับวัคซีน 1 ใน 3 ส่วนวัคซีน 2 ใน 3 ให้เอกชน เป็นหุ้นส่วน เพื่อนำไปจำหน่ายให้ผู้สนใจ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งโปแลนด์แจ้งว่าไม่อนุญาตให้นำวัคซีนที่ได้รับบริจาคไปขาย
ล่าสุดเพจโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ออกมาชี้แจงอีกครั้ง ใจความระบุว่า หลัง มธ.ประกาศยุติเรื่องการรับบริจาค เนื่องจากไม่ได้รับหนังสือรับรองจากทางการ โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ ออกแถลงการณ์ ถึงเหตุผลที่ไม่ออกหนังสือรับรองให้ธรรมศาสตร์
มีสองประการ คือหนึ่ง ไม่มีความยินยอมจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีนในการที่พวกเราจะไปขอรับบริจาค Moderna มาใช้ในประเทศไทย และได้ทราบว่าในจำนวนวัคซีน 1.5 ล้านโดส ที่จะได้รับบริจาคมานั้น ธรรมศาสตร์จะนำมาฉีดให้ประชาชนทั่วไปโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เพียง 500,000 โดส ส่วนอีกหนึ่งล้านโดสจะให้เอกชนที่เป็นคู่สัญญากับมธ. นำไปจำหน่ายโดยเรียกเก็บเงิน กต.เกรงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศ และขัดเจตนาของทางโปแลนด์และประเทศไทยจะเสียชื่อเสียง จึงไม่ยอมออกจดหมายรับรองการขอรับบริจาคให้แก่ มธ.
กต. ไม่เคยแจ้งเหตุผลข้อนี้ให้ทราบมาก่อน และไม่เคยสอบถามรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับ ‘การค้าวัคซีน’ ซึ่งหากแจ้งมา มธ. คงจะได้เข้าปรึกษาหารือกับ กต. และหาแนวทางอื่นในการดำเนินการร่วมกันเพื่อประโยชน์ของประเทศได้ทันท่วงที
ในประเด็นที่สอง เรื่องการแบ่งวัคซีน 1 ล้านโดส ให้เอกชนคู่สัญญานำไปจำหน่ายนั้น มธ.ได้แจ้งแก่ผู้แทน กต.ตั้งแต่ต้นว่า การบริจาคครั้งนี้ เป็นการบริจาควัคซีนจากคลังสำรองในโปแลนด์ ผู้รับบริจาคจะต้องส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบสภาพ สถานะ และล็อตการผลิต จัดการในเรื่องการขนส่งวัคซีน ประกันภัยวัคซีน พิธีการศุลกากร และการบริหารจัดการคลังเก็บวัคซีนในประเทศ ตลอดทั้งการประกันภัยผลข้างเคียงจากการได้รับวัคซีน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเรื่องเหล่านี้คิดเป็นเงินจำนวนหลายร้อยล้านบาท ซึ่งในการรับบริจาค แอสตร้าเซนเนก้า จากหลายประเทศ หลายครั้ง รัฐบาลไทยก็เคยเป็นผู้รับผิดชอบโดยใช้เงินงบประมาณของรัฐจ่ายไปทั้งหมด
ในกรณีของธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่มีงบประมาณแผ่นดินให้จ่ายได้ จึงได้ขอให้ภาคเอกชนคู่สัญญา เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประเด็นที่สำคัญคือ เมื่อได้คำนวณค่าใช้จ่ายและหักวัคซีน 5 แสนโดส ที่จะมอบให้ธรรมศาสตร์และโรงพยาบาลเครือข่ายไปฉีดให้ผู้ที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทนออกแล้ว วัคซีนอีกหนึ่งล้านโดสที่เหลือ ตกลงจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในเรื่องการขนส่ง โลจิสติกส์และประกันภัย รวมเป็นจำนวนโดสละ 400 บาท ซึ่งก็ต่ำกว่าราคา 1,100 บาท ที่เป็นราคาต้นทุนวัคซีนที่หน่วยงานภาครัฐที่นำวัคซีนชนิดนี้เข้ามาในประเทศ เรียกเก็บจากสถานพยาบาลต่างๆ อยู่เป็นอย่างมาก และเราได้แจ้งหลักเกณฑ์และจำนวนค่าใช้จ่ายที่จะขอเรียกเก็บนี้ให้ผู้แทน กต. ทราบด้วยแล้วเช่นกัน
ข้อที่รู้สึกประหลาดใจมาก คือเหตุผลข้อที่สองของ กต. เรื่องเกรงจะมีการนำวัคซีนไปจำหน่าย จะทำให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นเหตุผลและความกังวลที่ไม่เคยแจ้งหรือปรึกษากันก่อนเลย เพราะหากเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขหลักในการออกหนังสือรับรองไปยังโปแลนด์
มธ. อาจจะหาทางขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หรือมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับงบประมาณและการเงิน ให้ช่วยรับภาระในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ เพื่อให้ได้วัคซีนที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพ ล็อตนี้ นำเข้ามาฉีดให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางแล้วก็ได้
ทางเพจยังระบุอีกว่า การดำเนินการเรื่องวัคซีนบริจาคจากโปแลนด์ได้ยุติลงแล้ว แต่ธรรมศาสตร์ก็จะยังคงเพียรพยายามที่จะช่วยจัดหาวัคซีนทางเลือก เข้ามาให้แก่ผู้คนทั้งหลายในประเทศนี้อยู่ต่อไป ตามกำลังความสามารถ
สิ่งที่เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ ยากเหลือเกินที่องค์กรใดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนได้ ถ้าไม่ได้ดำเนินการในนามของรัฐและใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน จนทำให้ไม่อาจมีการเปรียบเทียบต้นทุน หรือราคาของการสั่งซื้อวัคซีนในแต่ละครั้งได้เลย