อังกฤษเปิดผลการศึกษาฉบับแรก ชี้วัคซีน HPV ช่วยลดอัตราป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 90%

อังกฤษเผยผลการศึกษาฉบับแรก ชี้วัคซีนป้องกันไวรัส HPV ช่วยลดอัตราป่วยมะเร็งปากมดลูกลงถึง 90%

วันที่ 4 พ.ย. 2564 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า สถาบันวิจัยด้านมะเร็งของสหราชอาณาจักร เปิดเผยผลการศึกษาฉบับแรกเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV พบข้อบ่งชี้ว่าช่วยลดอัตราป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกลงถึง 90% 

การศึกษาดังกล่าวถูกระบุว่าเป็นค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ที่จะช่วยรักษาชีวิตของผู้หญิงทั่วโลกเอาไว้ โดยมะเร็งปากมดลูก เป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 4 ในผู้หญิงทั่วโลก และคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 300,000 คนในแต่ละปี 

องค์การอนามัยโลก (WHO) ตระหนักถึงการสูญเสียดังกล่าว จึงมีการกำหนดแผนกำจัดมะเร็งปากมดลูกให้หมดสิ้น ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ประการ เน้นไปที่การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV ให้กับเด็กสาวทุกคน, สนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงอายุระหว่าง 35 ปี และ 45 ปี รวมถึงเร่งให้การรักษาผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคมะเร็งชนิดนี้ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลกที่ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับเด็กผู้หญิงตามคำแนะนำของ WHO

ทั้งนี้ จากตัวเลขทางสถิติพบว่าผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกเกือบ 9 ใน 10 คน ถูกพบในประเทศรายได้ต่ำหรือปานกลาง ซึ่งผู้หญิงจำนวนน้อยเข้าถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การฉีดวัคซีนจึงเป็นความหวังที่จะช่วยรักษาชีวิตของผู้หญิงในประเทศเหล่านั้นมากกว่าในประเทศร่ำรวย 

ผลการศึกษาดังกล่าวซึ่งได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์ Lancet ระบุว่า เริ่มดำเนินการศึกษามาหลังจากที่สหราชอาณาจักรออกคำแนะนำให้ฉีดวัคซีน HPV ให้กับเด็กผู้หญิงอายุระหว่าง 11-13 ปีตั้งแต่ปี 2018 และติดตามผลจากเด็กผู้หญิงที่รับวัคซีนจนเด็กเหล่านั้นเข้าสู่ช่วงวัยผู้ใหญ่เมื่อมีอายุเกิน 20 ปี พบว่า วัคซีนช่วยลดทั้งร่องรอยของโรคก่อนระยะเป็นมะเร็ง และการเกิดมะเร็งลงได้ถึง 87% 

“การศึกษานี้จะสร้างผลกระทบมหาศาล” ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ซาเซียนี หนึ่งในนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจลอนดอนกล่าว 

ภาพรวมของการศึกษาพบว่า วัคซีน HPV สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสได้ประมาณ 450 ชนิด และยับยั้งร่องรอยก่อนเกิดมะเร็วได้ราว 17,200 ชนิด

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามผลในกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุมากขึ้น พบว่าการลดอัตราป่วยน้อยลง ซึ่งนักวิจัยให้เหตุผลว่าวัยรุ่นที่มีอายุมากขึ้นมีการตัดสินใจที่จะฉีดวัคซีนน้อยลงกว่าเมื่อยังเด็ก และตามคำแนะนำวัคซีนควรฉีดก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

ศาสตราจารย์ซาเซียนีระบุว่า “นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ บนยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น” เพราะผู้ได้รับวัคซีนยังคงมีอายุน้อยอยู่ ดังนั้นตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป