สหรัฐฯ อัดฉีดน้ำมัน 50 ล้านบาร์เรล จากคลังน้ำมันยุทธศาสตร์ หวังเพิ่มปริมาณน้ำมันในตลาด ขณะที่มีรายงานว่า สหรัฐฯ อาจเดินหน้าเจรจาอิหร่าน เพื่อกดดันซาอุดีอาระเบียยอมเพิ่มกำลังการผลิต
วันที่ 24 พ.ย. 2564 เว็บไซต์ CNN รายงานว่า นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศใช้น้ำมันจากคลังน้ำมันยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บน้ำมันสำรองสำหรับกรณีฉุกเฉิน จำนวน 50 ล้านบาร์เรล อัดฉีดเข้าระบบ เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงในขณะนี้ ซึ่งรายงานระบุว่า ในครั้งนี้ถือเป็นการปล่อยน้ำมันจากคลังยุทธศาสตร์ในจำนวนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
โดยสาเหตุที่ใช้มาตรการปล่อยน้ำมันจากคลังยุทธศาสตร์เกิดขึ้น หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประเมินว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงในขณะนี้ เป็นเพราะความต้องการน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวหลังเกิดโรคระบาด
รัฐบาลสหรัฐฯ ยังเปิดเผยด้วยว่า มีหลายประเทศ เช่นจีน ญี่ปุ่น อินเดีย อังกฤษ และเกาหลีใต้ จะใช้มาตรการอัดฉีดน้ำมันจากคลังสำรองเข้าสู่ระบบในลักษณะเดียวกัน เพื่อให้มีปริมาณน้ำมันในระดับโลกใกล้เคียงกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงรัฐบาลสหรัฐฯ ยอมรับว่า มาตรการนี้อาจไม่ทำให้ราคาน้ำมันลดลงชั่วข้ามคืน แต่อาจเริ่มเห็นผลในช่วงกลางเดือน ธ.ค. เป็นต้นไป
สื่อสหรัฐฯ อ้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกันระบุว่า นอกจากมาตรการนี้แล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังเดินหน้ากดดันชาติผู้ผลิตน้ำมันให้เร่งกำลังการผลิตมากขึ้น โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย และชาติสมาชิกกลุ่ม OPEC+
รายงานยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลซาอุดีอาระเบียไม่ให้ความร่วมมือเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อให้ราคาน้ำมันลดลง จนเจ้าหน้าที่อเมริกันหลายคนเชื่อว่า อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจเดินเกมทำข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน หวังเพิ่มแรงกดดันถึงซาอุดีอาระเบียว่า หากในอนาคตอิหร่านไม่ถูกคว่ำบาตร จะกลับมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันแข่งกับซาอุดีอาระเบียและกลุ่ม OPEC+