วันที่ 29 พ.ย. 2564 ‘พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์’ Managing Director วัตสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปี วัตสัน ในฐานะร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ในประเทศไทย ยังคงยืนหยัดในความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
ซึ่งรวมไปถึงเป้าหมายในการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อให้ลูกค้าผ่านกลยุทธ์ O+O (Offline+Online ซึ่งหมายถึงลูกค้าที่ใช้บริการทั้งช่องทางหน้าร้านและออนไลน์) ที่เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2563 จนในปีนี้ วัตสันมียอดขายจากรูปแบบ O+O เป็น 2.5 เท่าของยอดขายจากหน้าร้านแล้ว
ทั้งนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้กลยุทธ์ O+O ประสบความสำเร็จ เป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยตั้งแต่สถานการณ์โควิดที่ทำให้คนเรียนรู้เทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เกิดการปรับจากออฟไลน์มาออนไลน์มากขึ้น จนลูกค้าคุ้นชินกับการช้อปออนไลน์แล้วไปรับของที่หน้าร้าน รวมถึงบริการ Chat & Shop
นอกจากนี้ สินค้าในกลุ่ม Wellness, ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง, การป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเส้นผม ก็เติบโตดีมาก และมาขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขาย O+O ที่เกิดขึ้น
“ขณะที่โควิดสร้างความท้าทายให้กับแบรนด์รวมถึงธุรกิจค้าปลีกอย่างมาก เนื่องจากการระบาดส่งผลให้ศูนย์การค้าหลายแห่งชะลอการเปิดตัวออกไป
“อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจุบันที่สาขาหน้าร้านยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสาขาอยู่ 619 สาขา สิ้นปีจะมี 640 สาขา ทำให้ช่องทางหน้าร้านยังเป็นช่องทางที่มียอดขายสูงขึ้นเรื่อยๆ และสัดส่วนยังไม่ได้ลดลงมากนัก
“ดังนั้น จึงทำให้เรายังคงมุ่งมั่นขยายสาขาในไทยอย่างต่อเนื่อง แต่ในการเลือกทำเลที่ตั้ง ก็จะลดความสำคัญของพื้นที่ที่เป็น Tourist Area ลง และให้ความสำคัญกับ Local Market มากขึ้น ทำให้การขยายสาขาจะเน้นไปที่แถบชานเมือง โดยเฉพาะบริเวณโซนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่”
โดยเป้าหมายปีนี้คือเปิดสาขาเพิ่ม 50 สาขา ปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีกมากกว่า 50 สาขา และปรับปรุงสาขาเดิมอีกไม่ต่ำกว่า 100 สาขา
‘พสิษฐ์’ ยังกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ O+O และช่องทางออนไลน์ด้วย โดยคาดว่าช่องทางเหล่านี้จะสร้างยอดขายได้เป็นสัดส่วนราว 20% ได้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ แม้การแข่งขันจะเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ธุรกิจรีเทล เนื่องจากผู้เล่นหลายๆ รายพยายามจะขึ้นเป็นที่ 1 ซึ่งเราก็พยายามปรับตัวให้ทันผู้บริโภคตลอดเวลา โดยวัตสันยังมีการขยายคลังสินค้าเพิ่มที่ จ.ขอนแก่น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสานด้วย
ด้าน ‘นวลพรรณ ชัยนาม’ Customer Director วัตสัน ประเทศไทย ระบุว่า โควิดสร้างความท้าทายอย่างมาก เพราะทำให้ทุกภาคส่วนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยใครปรับตัวทันก็อยู่ในตลาดต่อไปได้
“ไม่เพียงเท่านั้น แต่โควิดยังทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่าย และวางแผนซื้อของมากขึ้น ทำให้การตลาดค่อนข้างท้าทายพอสมควร”
‘นวลพรรณ’ กล่าวว่า ดังนั้น วัตสันจะยังคงเดินหน้าให้บริการแก่ลูกค้าภายใต้จุดแข็งของเรา คือ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความงามอันดับ 1 ของภูมิภาคและของโลก, สร้างประสบการณ์การซื้อของบนออฟไลน์และออนไลน์แบบไร้รอยต่อ ตลอด 24 ชม.
“โจทย์ที่ 3 ที่เราต้องพัฒนาคือเรื่องของนวัตกรรม วัตสันต้องมีทั้งโปรดักต์อินโนเวชั่น, เซอร์วิสอินโนเวชั่น และโลจิสติกส์อินโนเวชั่น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
“สุดท้ายต้องพัฒนาตามจุดยืนในเรื่องของความยั่งยืน ที่กำลังเป็นเทรนด์โลก และลูกค้าเองก็ให้ความสนใจแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับสังคมเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือจุดแข็งและจุดยืนของเราเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้านั่นเอง” นวลพรรณกล่าวทิ้งท้าย