ผู้ต้องหาล่าเสือทองผาภูมิ ทยอยเดินทางมอบตัว เจ้าหน้าที่แยกสอบหาข้อเท็จจริง เนื่องจากให้การไม่ตรงกันหลายจุด ขณะที่ รมว.ทส. ย้ำดำเนินการตามกฎหมายถึงที่สุด
วันที่ 13 ม.ค. 2564 จากกรณีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนพบกลุ่มพรานป่าลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ บริเวณป่าห้วยปิล๊อก หมู่ที่ 4 ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ห่างจากเขตชายแดนไทย-พม่า ประมาณ 3-4 กิโลเมตร โดยพบซากเสือโคร่ง จำนวน 2 ตัว ตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ทองผาภูมิ ยืนยันว่า มีผู้ต้องหาที่ร่วมกระทำผิดในครั้งนี้ที่ยังคงหลบหนี อีก 1 คน รวมเป็น 5 คน แต่จนถึงขณะนี้จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 4 คน โดยการแยกสอบ ทั้งหมดก็ยังไม่ยอมเปิดปากให้การซัดทอดถึงผู้ใด และยังคงยืนยันว่ามีเพียงแค่พวกตน 4 คนเท่านั้น แต่คำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ปรากฏว่า ให้การไม่ตรงกันในหลายจุด
จากการให้ปากคำของผู้ต้องหาทราบว่า ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ล่าเสือโคร่งด้วยการร่วมกันขุดหลุมดักเอาไว้ โดยนำวัวมาวางเป็นเหยื่อล่อ เมื่อเสือโคร่งลงไปในหลุมเพื่อกินเหยื่อ ทั้งหมดก็ใช้อาวุธปืนระดมจ่อยิงใส่จนเสือตาย แต่จากการที่ น.ส.กนกวรรณ ตรุยานนท์ นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ทำการผ่าพิสูจน์ซากเสือโคร่งทั้ง 2 ตัว เบื้องต้นพบว่า เสือตัวผู้ ถูกยิงที่กะโหลก 2 นัด และที่เขี้ยว 1 นัด ส่วน เสือตัวเมีย ถูกยิงที่กะโหลก 4 นัด
ด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) เปิดเผยว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) สั่งการให้ติดตามหาตัวผู้กระทำความผิดคดีล่าเสือโคร่งในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิโดยด่วนที่สุด
ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ที่มีการลักลอบล่าสัตว์ป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่าที่ไม่อาจยอมรับได้ โดยเฉพาะเสือโคร่งที่ถือว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองของประเทศไทย เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องเช่นนี้จึงไม่สมควรเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย
ปลัด ทส. กล่าวว่า นายวราวุธย้ำให้ติดตามดำเนินคดีนี้ให้ถึงที่สุดโดยเร็ว ถึงแม้ว่าขณะนี้ผู้กระทำความผิดได้มามอบตัวและยอมรับต่อข้อกล่าวหาแล้วก็ตาม โดยกำชับให้ประสานกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ในการติดตามดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น และเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกต่อไป