นักเศรษฐศาสตร์ประเมินผล “ช้อปช่วยชาติ” เงินสะพัดไม่ถึงหมื่นล้าน

นักเศรษฐศาสตร์ประเมินผลช้อปช่วยชาติหลังเสร็จสิ้นโครงการ ชี้ กระตุ้นเศรษฐกิจต่ำ เงินสะพัดไม่ถึงหมื่นล้าน กลุ่มได้รับผลประโยชน์มีเพียงร้อยละ 7 เผยคนจนเพิ่มขึ้นเกือบล้าน แนะชะลอการเพิ่มภาษี VAT

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ประเมินผลหลังเสร็จสิ้นมาตรการช้อปช่วยชาติ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2560 ว่า มาตรการดังกล่าวส่งผลต่อเม็ดเงินสะพัดไม่ถึง 10,000 ล้านบาท การใช้จ่ายจากช้อปช่วยชาติเพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจมีค่อนข้างต่ำ

เนื่องจากส่วนมากเป็นการใช้จ่ายตามปกติ เมื่อประชาชนซื้อของในช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้ว จะทำให้เกิดการชะลอตัวของการบริโภคในช่วงเวลาถัดไป มีผู้เสียภาษีเพียงร้อยละ 7 ของผู้เสียภาษีทั้งหมดที่ได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีในโครงการนี้

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า จากข้อมูลปี 2558 – 2559 ไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านคน ซึ่งสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น จึงอยากให้เลื่อนการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ออกไปก่อนเพื่อรอให้ภาคเศรษฐกิจฟื้นตัว ควรปรับโครงสร้างให้มีสัดส่วนการเก็บภาษีทางตรง (เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม  เพราะหากเก็บภาษีทางอ้อม (เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม) มากเกินไป จะส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มอัตราภาษี VAT ยังคงมีความจำเป็น เพื่อมาอุดรอยรั่วของการขาดดุลงบประมาณรัฐบาลต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี ซึ่งได้แนะภาครัฐว่า การออกมาตรการที่รัฐบาลอาจสูญเสียงบประมาณจะต้องระวังเป็นพิเศษ ต้องดูว่ามีความคุ้มค่ากับการกระตุ้นเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด เพราะหากไม่คุ้มจะทำให้ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง 3 – 5 ปี อาจทำให้ประเทศเกิดความเสี่ยงทางการคลังได้