สงครามรัสเซีย-ยูเครนรอบนี้ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า การต่อสู้ไม่ได้มีแค่เรื่องกองกำลังอาวุธ เพราะในโลกยุคใหม่ มีทั้งการค้า มีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ มีเทคโนโลยี มีระบบการเงินและการสื่อสาร สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาใช้กดดันฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด
ที่ผ่านมาเราจึงเห็นรัฐบาลนานาชาติออกมาคว่ำบาตรรัสเซีย เช่น สหรัฐฯ คว่ำบาตรท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม 2 ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ หรือคว่ำบาตรธนาคาร บริษัท และนักธุรกิจใหญ่ๆ ในรัสเซียที่เป็นเครือข่ายคนใกล้ชิดของปูติน
นอกจากนี้เรายังเห็นบริษัทจากอุตสาหกรรมต่างๆ ออกมาประกาศจุดยืน ต่อต้านสงคราม ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือชาวยูเครน
แต่รู้หรือไม่ว่ากลุ่มบริษัทไอทีโดยเฉพาะสายโซเชียลมีเดียนั้น มีบทบาทมากเป็นพิเศษ ชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีครั้งไหน ที่โซเชียลมีเดียและสงครามจะเข้าใกล้กันมากเท่าครั้งนี้มาก่อน
ช่วงแรกที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนปะทุขึ้น รัฐบาลยูเครน, สหรัฐฯ, ยุโรป ต่างออกมากดดันบริษัทโซเชียลทั้งหลาย ให้เริ่มทำอะไรสักอย่าง เพราะกังวลว่าโซเชียลมีเดียจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของรัสเซียในการแพร่ข้อมูลเท็จ
ซึ่งหลักๆ ที่บริษัทโซเชียลเริ่มทำคือ จำกัดการมองเห็น RT, Sputnik สื่อที่รัฐบาลรัสเซียเป็นเจ้าของ รวมทั้งไม่ขายโฆษณาใดๆ ในพื้นที่เสี่ยง หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข่าวปลอม
หากยังจำกันได้ ครั้งหนึ่ง Facebook ต้องถูกสอบสวนครั้งใหญ่ เพราะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของรัสเซียในการแทรกแซงการเมืองภายใน เผยแพร่ข้อมูลปลอม โจมตีฝ่ายเสรีนิยมในสหรัฐฯ จนถึงกับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้นเลยก็ว่าได้
โซเชียลมีเดียจากที่เคยวางตัวเองเป็นกลาง ให้ทุกฝ่ายมีสิทธิ์มีเสียงเท่ากัน สนับสนุน free speech ต้องกลับมาทบทวนบทบาทตัวเองใหม่ เพราะที่ผ่านมาโซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งเผยแพร่ข่าวปลอมชั้นดี
จึงไม่น่าแปลกใจที่ทันทีที่สงครามปะทุ บริษัทโซเชียลจะเป็นเจ้าแรก ที่รัฐบาลต่างเพ่งเล็ง และบีบให้ออกมา take action
ที่มา : Financial Times, The New York Times, CNET, Forbes, Dailymail