กลิ่นออก ! นายทุนรุกที่ป่าช้า 4 ปีเรื่องไม่คืบ จนท.สะกิดผู้บุกรุกชี้แนวเขตครอบครอง

ประเด็นคือ- การตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่าช้าเก่า ในพื้นที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ล่าสุดชาวบ้านบุกเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดอีกครั้ง หลังเจ้าหน้าที่อำเภอเข้าตรวจสอบแนวเขต แต่ทำแปลกไม่แจ้งผู้ร้อง แต่กลับไปแจ้งผู้บุกรุกให้ชี้แนวเขตครอบครองเพียงฝ่ายเดียว

จากกรณีนายปรารภ เหล็กดำ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 197 หมู่ที่ 6 ต.สมอทอง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี อดีตผู้ช่วยกำนัน ต.สมอทอง ปี 2540-2543 ได้นำเอกสารพร้อมภาพถ่ายและสำเนาการร้องเรียนเรียกร้องให้ตรวจสอบการบุกรุกที่ดินสาธารณะประโยชน์ (ที่ดินป่าช้าเก่า) ที่พื้นที่มีอยู่กว่า 10 ไร่ แต่ อบต.สมอทอง ยื่นขอออกหนังสือสำคัญ (นสล.) เพียง 5 ไร่เศษและปล่อยให้พื้นที่ประมาณ 4 ไร่เศษ ถูกนายทุนบุกรุกครอบครองปลูกยางพารา อายุกว่า 2 ปี จำนวนกว่า 4 ไร่เศษ

ซึ่งกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ได้ยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบพื้นที่ที่มีการบุกรุก และเรียกร้องให้เปิดเส้นทางเข้าออกพื้นที่สาธารณประโยชน์ ต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. 56 แต่เวลาผ่านไปเกือบ 4 ปี เรื่องยังเงียบ

ต่อมานายวิชวุทย์ จินโต  รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ว่าที่ผู้ว่าราชการคนใหม่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ทราบเรื่อง จึงได้มีคำสั่งให้นายเจริญ เปลี่ยวจิตร นายอำเภอท่าชนะ เร่งตรวจข้อเท็จจริงและรายงานให้ทราบผลโดยเร็ว

และล่าสุดในเช้าวันนี้ (19 ก.ย. 50) นายปรารภ เหล็กดำ พร้อมพวก ได้เข้ายื่นหนังสือถึงนายอวยชัย อินทรนาค  ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยยื่นผ่านศูนย์ดำรงธรรม จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยระบุว่า เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ปรากฏว่า ทางกลุ่มเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ได้ติดต่อผู้ร้องซึ่งเป็นกลุ่มอดีตผู้นำชุมชนและชาวบ้านให้ทราบเรื่องแต่อย่างใด ซึ่งพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่สร้างความกังขาและเป็นที่น่าสังเกตว่าอาจมีอะไรที่ไม่ปกติ หรืออาจไปเข้าข้างกลุ่มนายทุนที่มีนักการเมืองท้องถิ่นเป็นผู้หนุนหลัง

ดังนั้นจึงได้ขอยื่นหนังสือเพื่อขอร่วมการตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริง คัดค้าน และไม่เห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวที่ลงพื้นตรวจสอบพื้นที่ก่อนหน้านี้ พร้อมกันนี้ได้ยื่นเอกสารหลักฐานที่สำคัญ จำนวน 1 ชุดและภาพถ่ายเพื่อให้ทางจังหวัดได้ประกอบการพิจารณาเพื่อนำพื้นที่กลับมาเป็นของชุมชนได้ใช้ร่วมกันสืบต่อไป

ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้รับหนังสือดังกล่าว พร้อมรับปากจะเร่งนำเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีดำเนินการต่อไป