SHARE

คัดลอกแล้ว

10 เม.ย. 2553 เป็นอีกวันของประวัติศาสตร์การเมืองไทย เกิดเหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีสาศ เพื่อ “ขอคืนพื้นที่” หลังกลุ่ม นปช.ชุมนุมยืดเยื้อ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งในขณะนั้นเป็นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 

วันนี้ 10 เม.ย. 2565 ถือว่าครอบรอบ 12 ปี ของเหตุการณ์ ผู้คนที่ร่วมเคลื่อนไหวได้จัดงานรำลึกขึ้น โดยช่วงเช้าที่อาคาร พีซ ทีวี ซอยรามอินทรา 40 กทม. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่วัดปทุมวนาราม เมื่อปี 2553 พร้อมมวลชน นปช. จำนวนหนึ่ง จัดกิจกรรมรำลึก “12 ปี วีรชน 10 เม.ย. 53” โดยมีการทำบุญถวายสังฆทานพระสงฆ์ 9 รูป เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ครบรอบที่เป็นรอบจริงๆ คือ 12 ปี ที่เป็น 12 ปีแห่งความสูญเสีย ตลอดระยะเวลาถ้านับขบวนการคนเสื้อแดงถอยไปอีก 3 ปี คือปี 2550 ตลอดระยะก็รวมเป็น 15 ปีที่เราปรากฏตัวตนกันอยู่ในประเทศนี้ ความสูญเสียไม่ว่าจะเป็นความตาย บาดเจ็บ สูญสิ้นอิสรภาพ ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่มีอะไรที่พวกเราไม่ไปต่อสู้ ทุกกระบวนการที่สามารถไปเรียกร้องหาความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือที่ใดของโลก เราได้ทำหน้าที่อย่างครบถ้วน เพียงแต่ว่าไม่เคยมีที่ไหนสามารถให้ความยุติธรรมกับพี่น้องคนเสื้อแดงได้ นี่เป็นความสูญเสียที่ใหญ่มากที่สุด

“พยายามอธิบายมาตลอดว่าการต่อสู้ทุกเหตุการณ์ที่มีความสูญเสียในประเทศไทย ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใดฝ่ายใด การต่อสู้ด้วยความเชื่อต้องไม่จบลงด้วยการฆ่าและความตาย แต่ความตายและความสูญเสียของคนเสื้อแดงนั้น เป็นความสูญเสียที่มากที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยนี้เคยตั้งมา” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า การต่อสู้ในวันนั้นเราต่างรู้สึกมีความหวัง ตอนนั้นอายุ 40 กว่า วันนี้อีก 3 ปีจะอายุ 60 เราหวังว่าเวลาจะอยู่ข้างเรา แต่เวลาของเราก็หมดตามลำดับในโลกแห่งความเป็นจริงๆ หลายคนตั้งคำถามผมว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไปย้ายขั้วสลับข้างกันแล้วหรือ ซึ่งเป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก ความจริงตั้งแต่ปี 2535 ถึงปี 2553 มาถึงปี 2565 จุดยืนของตนไม่เคยย้ายไปจากตัวของตนเลย เพียงแต่ว่าการยืนหยัดตนอยู่ในสนามรบตนย่อมรู้ว่าใครเป็นใคร แม้กระทั่งแนวความคิดต่างๆ ที่พยายามจะฉาย เพราะรู้ว่าเส้นแบ่งระหว่างอิสรภาพ การขับเคลื่อนของตนน้อยมาก เป็นภูมิต้านทานต่ำกับคุก แน่นอนที่สุดพอขยับทีไอ้พวกนี้วางแผนขังตนทุกที ในขบวนการแกนนำคนเสื้อแดงทั้งหมด ตนเป็นคนที่ถูกดำเนินคดีมากที่สุด เข้าออกคุกมากที่สุด และก็ถูกกล่าวหาทั้งที่เข้าออกคุก แต่ยังต้องยืนอยู่เพราะรู้ว่าขณะนี้ประเทศไทย ถ้าเราคิดเพียงแค่อารมณ์ความรู้สึกทางการเมือง ซึ่งในโลกโซเชียลมีเดีย จะสร้างคนให้เป็นอะไรก็ได้

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนสภาเปิด ปัญหาคือฝ่ายค้านอย่าผิดสัญญา ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 23 พ.ค. เพราะแน่นอนที่สุดถ้ายื่นไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถยุบสภาได้ แต่ถ้ายืดไปเดือน ส.ค. สถานการณ์จะเปลี่ยนอีก อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง ยิ่งกลัวยิ่งไม่มีการเลือกตั้ง วันนี้ถ้าคิดเพียงแค่เรื่องการเมือง เชื่อว่าชนะการเลือกตั้งแล้วปกครองประเทศนี้ได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ 60 ที่มีความซ่อนเงื่อนมาก มี ส.ว. องค์กรอิสระอย่างครบถ้วน แต่ยังคิดแค่เรื่องตัวเลขกันอยู่ คิดว่าการเลือกตั้งจะได้เปรียบเรื่องบัตร 2 ใบ แต่ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93, 94 เรื่องผู้แทนพึงมี ท้ายที่สุดบัตร 2 ใบจะเท่ากับบัตรใบเดียว นั่นคือเอาคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ บวกพื้นที่ไม่หารด้วย 100 ตามที่พูด แต่จะหารด้วย 500 จากคะแนนผู้แทนประมาณ 7 หมื่นก็จะตกอยู่ที่ 1.55 แสน

นายจตุพร กล่าวว่า เหตุการณ์ 10 เม.ย. 2553 ครบ 12 ปีนั้น เป็นเหตุการณ์ที่มีคนตายมากที่สุดในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เรายังไม่มีอนุสาวรีย์ เราไม่มีการชำระประวัติศาสตร์และเราไม่มีความยุติธรรมใน 12 ปีนี้ สิ่งที่เรามีความวาดหวังก็คือว่าประเทศควรจะเดินได้ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ชนะแต่ปกครองไม่ได้ และแก้ไขความฟอนเฟะของประเทศไม่ได้

ด้านนางพะเยาว์ อัคฮาด หรือ แม่น้องเกด กล่าวว่า ณ เวลานี้ผ่านมา 12 ปีเราได้รับรู้ว่า กระบวนการยุติธรรมที่เราได้รับ ถูกกดขี่ เราถูกรังแกมากจากภาครัฐ เราจะคิดกันว่า เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราทุกคนในจำนวนญาติผู้เสียหายที่ยังอยู่และมีความพร้อม เราจะเริ่มดำเนินการเรียกร้องความเป็นธรรม จะไปทุกที่ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะไปยืนอยู่หน้ากองทัพบก หน้าทำเนียบ หน้าทุกส่วนที่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำร้ายคนในครอบครัวเรา เราจะเริ่มต้นเรียกร้องความยุติธรรม เพราะเราถูกกด มีหลายคดี ที่ดีเอสไอ ไม่ส่งฟ้อง เหลืออีกแค่ 20 กว่าคดี ที่ได้รับการชี้มูลความตาย แต่ผลสุดท้ายเราถูกกลั่นแกล้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เอาคดีของเราไปซุกไว้ในมือของศาลทหาร ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

“การชี้มูลการตาย ขึ้นกับศาลพลเรือนมาโดยตลอด ทหารทุกคนที่มาให้ปากคำ ก็ขึ้นศาลพลเรือน ฉะนั้น เราถูกกลั่นแกล้ง เมื่อขึ้นศาลทหารก็สั่งไม่ฟ้อง เราถูกรังแก ถึงเวลาแล้ว ญาติทุกคนพร้อมใจกัน ณ วันนี้ เป็นวันเริ่มต้น วันดี เรามองว่าควรจะออกมาทำอะไรที่เป็นประโยชน์ วันนี้แม่น้องเกดและญาติๆได้มีโอกาสมาพบพี่น้อง บอกตรงๆ ดีใจมาก ที่ไม่มีใครลืมผู้เสียชีวิต และพร้อมจะเรียกร้องความเป็นธรรมไปกับเรา” นางพะเยาว์กล่าว

ส่วนช่วงบ่ายมี ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน แกนนำคนเสื้อแดง ร่วมจัดงานรำลึกเหตุการณ์ 10 เมษาฯ 2553 ยุติธรรมไม่มี 12ปีเราไม่ลืม มีประชาชนและแกนนำคนเสื้อแดงเดินทางมาร่วมหลายคน นำโดยนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. นพ.เหวง โตจิราการ นางธิดา ถาวรเศรษฐ  นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายวรชัย เหมะ เช่นเดียวกับคณะส.ส.เพื่อไทยที่นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค นส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวหน้า

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมรำลึกความสูญเสียของประชาชนจากการล้อมปราบ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 มีการจัดมาทุกปีเพื่อประกาศต่อสังคมว่าโศกนาฏกรรมดังกล่าวยังไม่มีการชำระความจริง ยังไม่มีกระบวนการยุติธรรมที่นำคนกระทำผิดในการใช้กำลังปราบปรามสังหารประชาชนมารับผิดชอบตามกฎหมาย ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะตอกลิ่มความขัดแย้ง หรือตั้งเงื่อนไขความแตกแยกในสังคมไทยให้ลุกลามบานปลายออกไป เพียงต้องการรักษาแผลเก่า อย่าให้กลายเป็นแผลอักเสบเรื้อรังของสังคม เพราะการไม่มีความยุติธรรมให้ประชาชนผู้สูญเสีย หมายถึงหลักประกันต่อผู้มีอำนาจ ว่าสามารถตัดสินใจใช้กำลังปราบปรามประชาชนได้อีกในอนาคต เพราะมีตัวแบบที่สามารถลอยนวลและพ้นความผิดได้

“ความแหลมคมทางการเมืองเกิดขึ้นทุกวัน จึงคาดเดาไม่ได้เลยว่าในอนาคตอาจมีการเคลื่อนไหวต่อสู้ขนาดใหญ่ของประชาชนขึ้นอีกแล้วอาจเกิดเหตุการณ์แบบคืนวันที่ 10 เม.ย.53 อีกครั้ง ตราบเท่าที่ฝ่ายรัฐยังคงมีความเชื่อมั่นว่าทำแล้วไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เวลานี้เป็นวาระการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว จึงอยากให้ผู้คนในสังคมไม่ว่าเห็นด้วยหรือเห็นต่างกับความเคลื่อนไหวของพวกเรา พึงตระหนักว่าอนาคตข้างหน้าลูกหลานหรือคนในครอบครัวเรา อาจเป็นคนหนึ่งที่ออกมายืนต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตัวเองตามท้องถนน แล้ววันนั้นลูกหลานและคนในครอบครัวท่านอาจเผชิญหน้ากับกองกำลังของรัฐและสุ่มเสี่ยงที่จะเผชิญกับเหตุการณ์เหมือนกับ 12 ปีที่ผ่านมา” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ทั้งนี้ต้องการให้ความยุติธรรมเดินหน้าอย่างตรงไปตรงมาคนทำผิดต้องรับผิดชอบซึ่งตลอด 12 ปีทั้งแกนนำและมวลชนผู้ชุมนุมถูกจับกุมคุมขังดำเนินคดีมาต่อเนื่องถึงปัจจุบันแต่ฝ่ายรัฐซึ่งเป็นคู่กรณีและผู้กระทำต่อประชาชนไม่มีใครถูกจับกุมดำเนินคดีแม้แต่คนเดียวตลอด 12 ปี ส่วนการเดินหน้าเรื่องดคีนั้น ที่ผ่านมาได้พยายามที่จะผลักดันตัวคดีอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่พบคือทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับคนตายเป็นการพายเรือในอ่าง ศาลอาญาบอกว่าไม่มีอำนาจให้ไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และต้องตั้งต้นที่ ป.ป.ช. แต่เมื่อไปที่ ป.ป.ช. กลับยกคำร้อง ระบุว่า ผู้มีอำนาจในรัฐบาลขนาดนั้นกระทำตามอำนาจหน้าที่ไม่มีความผิดให้ไปฟ้องร้องกับผู้สังหาร ซึ่งพี่น้องผู้เสียชีวิตส่วนหนึ่งไปฟ้องศาลทหาร แต่กลับบอกว่าไม่มีการ ระบุตัวผู้กระทำ ทำให้ 12 ปี จึงวนอยู่กับที่แบบนี้บนความเจ็บปวดและความสูญเสียของประชาชน ดังนั้นอะไรที่เป็นช่องทางให้คดีเดินหน้าได้ก็ยังคงจะทำต่อไป และหากยังวนเวียนแบบเดิมเราก็ไม่สิ้นความหวัง

“เมื่อมีการใช้กำลังปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน ผ่านไป 10 ปี 20 ปีหรือมากกว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนเมื่ออำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง การชำระประวัติศาสตร์การชำระคดีความและอำนวยความยุติธรรมก็มาถึง หลายๆประเทศผู้กระทำถูกคุมขังในวัย 80 ถึง 90 ปี หลายประเทศเหตุการณ์ผ่านไปนานแล้วคนรุ่นต่อไปก็ลุกขึ้นมาสู้เพื่อความยุติธรรมของคนรุ่นก่อน เราก็ยังมีความหวังเหล่านี้อยู่และจะเดินหน้าต่อไป” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ทุกครั้งที่มีการจัดกิจกรรมนี้ก็มีเสียงตั้งคำถามว่าทำไมพยายามฉุดรั้งบ้านเมืองถอยหลัง แต่อยากบอกว่าการที่บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าต้องเดินหน้าไปด้วยความชอบธรรมถึงมีอนาคต บ้านเมืองที่จะเดินไปข้างหน้าโดยข้ามศพประชาชนเป็น100 เชื่อมั่นว่าบ้านเมืองนั้นไม่สามารถเดินไปหาอนาคตที่ดีกว่าได้ ส่วนคดีอาญาโดยทั่วไปจะหมดอายุความภายใน20 ปี ตอนนี้เป็นปีที่ 12 จึงเหลืออายุความเพียง 8 ปีเท่านั้น ตนเชื่อว่าเหตุสำคัญที่คณะผู้มีอำนาจชุดนี้ดึงดันที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป เนื่องจากอายุความในคดีนี้ด้วย เพราะนายทหาร 3 ป. ที่ยังมีอำนาจอยู่ คือบุคคลสำคัญที่กำกับดูแลกองทัพใน 12 ปีที่แล้ว และเวลานี้ขึ้นมามีอำนาจนำในรัฐบาล ดังนั้นอาจเป็นเจตนาเช่นนี้ของผู้มีอำนาจ แต่เราคาดหวังพลังจากประชาชนไม่ให้มีการสืบทอดอำนาจต่อไปและเดินหน้ากระบวนการยุติธรรมกรอบเวลา 20 ปีก็จะสู้

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เหตุการณ์12 ปี 10 เมษา 2553 คือโศกนาฏกรรมและอาชญากรรมที่กระทำโดยรัฐ พี่น้องคนเสื้อแดงออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งและรัฐบาลต้องมาจากประชาชน แต่สิ่งที่ประชาชนได้กลับไปคือหีบศพและร่างไร้วิญญาณ วันนี้เมื่อ 12 ปีที่แล้วคือจุดเริ่มต้นการสั่งฆ่าโดยรัฐ ที่วันนี้ยังไร้ผู้รับผิดชอบ พรรคเพื่อไทยไม่เคยลืมการต่อสู้ของพี่น้องประชาชน ขอยืนหยัดร่วมต่อสู้บนวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป

ขณะที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม อดีตผู้สมัคร ส.ส.ปชป.ผู้ก่อตั้งกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า หลานชายนายอภิสิทธิ์ เคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับการปรองดองเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม และสังคมเดินไปสู่อนาคตไม่ได้ หากไม่กลับมาสะสางสิ่งที่ยังค้างคาในอดีต นอกจากการระลึกถึงการคืนความยุติธรรมแก่ผู้สูญเสียทุกฝ่ายจากทุกเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในอดีต จำเป็นต้องทำอีก 3 อย่าง คือ 1.ปฏิเสธการนิรโทษกรรม 2.สร้างกระบวนการค้นหาความจริงที่ทุกฝ่ายยอมรับ 3.ยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด

“ทุกโศกนาฏกรรมทางการเมืองที่มีผู้เสียชีวิต ไม่ว่าฝ่ายใดและไม่ว่าเกิดขึ้นกับการชุมนุมทีเราเห็นด้วยหรือเห็นต่าง ขั้นตอนที่สำคัญมากในการสะสางข้อคาใจของสังคมคือการต้นหาความจริง เพื่อให้ทุกฝ่ายยืนบนพื้นฐานของชุดข้อเท็จจริงที่ยอมรับร่วมกัน ซึ่งผลลัพธ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น กับเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53”

ที่มา เสวนา 30 ปีพฤษภาประชาธรรม บทเรียน 17พฤษภา35

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า