ภาคประชาชนซัดกรมกิจการเด็กฯ ใช้อำนาจอุ้มคนผิดซื้อประเวณีเด็ก จวก ‘จุติ ไกรฤกษ์’ ไม่แสดงจุดยืนขอให้พิจารณาตัวเอง พร้อมปลุกคน พม. ยึดความถูกต้อง เร่งกวาดบ้าน ปกป้องเด็ก เยาวชนตามเจตนารมณ์องค์กร
จากเหตุการณ์ตำรวจกำลังเข้าตรวจค้นและติดตามบุคคลเป้าหมายในคดีเครือข่ายค้ามนุษย์บังคับค้าประเวณีเด็กและผู้ใช้บริการ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 12 ราย เป็นฐานความผิดค้ามนุษย์ จำนวน 4 ราย, ผู้ซื้อบริการทางเพศ 11 ราย เป็นผู้ต้องหาอายัดเรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี จำนวน 2 ราย และหลบหนีไปได้ จำนวน 1 ราย
ในจำนวนผู้ต้องหาที่จับกุมได้พบผู้อายุมากสุด 79 ปี เป็นประธานสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องหาที่เป็นรองประธานสภา อบต., ข้าราชการครู, นายแพทย์, ทหาร และลูกอดีตนักการเมือง
ต่อมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ลงพื้นที่ติดตามการขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้องในคดีจำนวน 18 ราย และดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ คือ เจ้าหน้าที่บ้านเด็ก (บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี) มีพฤติกรรมใช้ไม้ทุบตีเด็กเพื่อให้เด็กให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ใช้บริการ
และดำเนินคดีกับข้าราชการระดับรองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนที่โทรศัพท์เข้าไปสั่งการหัวหน้าบ้านพักเด็กฯ ให้เกลี้ยกล่อมเด็กไม่ให้บอกชื่อผู้ต้องหา โดยมีการส่งสำนวนการสอบสวนให้กับ ป.ป.ช. ในข้อหาขัดขวางกระบวนการสอบสวนสืบสวนกระบวนการค้ามนุษย์และแทรกแซง รวมถึงปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

ชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว
- จี้ ‘จุติ ไกรฤกษ์’ พิจารณาตัวเอง
ล่าสุดนายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่า จากข่าวที่ปรากฏสะท้อนให้เห็นค่านิยมที่เสื่อมทรามของคนบางกลุ่มในสังคมไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ฐานะทางการเงินที่ดี มีหน้ามีตาในสังคม มียศมีตำแหน่งทั้งฝ่ายการเมือง ยังนิยมซื้อบริการหรือหาประโยชน์ทางเพศกับเด็ก ซึ่งรูปแบบการกระทำไม่ได้เปลี่ยนแปลง ยังเหมือนหลายคดีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาทิ คดีบ้านน้ำเพียงดิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน คดีครูโรงเรียนบ้านดงมอน จังหวัดมุกดาหาร และคดีบ้านเกาะแรดจังหวัดพังงา เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบข่าวผู้มีอำนาจ มาหาประโยชน์ทางเพศกับเด็กต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่การแก้ปัญหายังทำแบบเคสบายเคสไป ด้วยกลไกและวิธีการเดิมๆ ที่ตั้งรับและไม่ทันต่อสถานการณ์ ทำให้เกิดปัญหาเด็กถูกล่วงละเมิดซ้ำซาก
สำหรับกรณีล่าสุดที่มีรายงานข่าวว่ารองอธิบดีฯ โทรสั่งเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กฯ เกลี้ยกล่อม หรือบังคับเหยื่อให้ช่วยผู้ต้องหาคดีซื้อบริการเด็ก ที่กำลังถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และกรณีมีการทำร้ายร่างกายเด็กนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากขึ้นไปอีก เพราะองค์กรที่มีหน้าที่คุ้มครองเด็กไม่ได้ทำหน้าที่ตามเจตนารมณ์ กลับใช้กฎหมายทำร้ายเด็กที่เป็นเหยื่อเพื่อปกป้องคนทำผิด ดังนั้นตามหลักการควรให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อความโปร่งใสในการเข้าสู่กระบวนยุติธรรมตามขั้นตอน และให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายในกระทรวง โดยมีบุคคลที่น่าเชื่อถือจากภายนอกเข้าร่วมด้วย ไม่ใช่ตั้งคนใกล้ชิดสนิทกันเข้ามาเพื่อช่วยเหลือกัน

จุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
“หากความจริงเป็นไปตามข่าว นั่นแสดงว่าหน่วยหลักที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ กรมนี้ กระทรวงนี้ ถึงจุดติดลบแล้ว เมื่อการปกป้องคุ้มครองเด็กไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ขององค์กร คนที่ถือกฎหมายซึ่งต้องปกป้องคุ้มครองลูกหลานกลับใช้อำนาจทำร้ายซ้ำเด็กผู้เสียหาย เพื่อต้องการช่วยเหลือผู้กระทำด้วยความสัมพันธ์อันใดก็แล้วแต่ ย่อมเป็นความผิดชัดแจ้งซึ่งต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด บทลงโทษจึงต้องหนักกว่าคนทั่วไป ตอนนี้แม้เด็กจะอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วแต่ที่น่าห่วงคืออำนาจมืด อิทธิพลที่จะกระทำกับครอบครัว ญาติพี่น้องของเด็กๆ” นายชูวิทย์ กล่าว
เลขาธิการมูลนิธิเด็กฯ กล่าวว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นประเด็นถึงการทำงานของ พม. ก่อนหน้านี้กรณีรองหัวหน้าพรรคการเมืองสังกัดเดียวกันกับนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พม.ก็ไม่แสดงความชัดเจนในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา มีเพียงท่าทีของปลัดพม.ที่ผ่านมาเท่านั้น ดังนั้นถึงเวลาที่นายจุติ จะต้องพิจารณาตัวเอง แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ขอให้ชาวพม.ลุกขึ้นยืนเพื่อความถูกต้อง ปัดกวาดบ้านตัวเอง อย่าเลือกความอยู่รอดด้วยการโอนอ่อนตามผู้มีอำนาจ เพราะการเมืองมาแล้วไปแต่จิตวิญญาณของคน พม.ต่างหากที่ต้องคงอยู่เพื่อผู้คนในสังคม

ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก
• ฝากรัฐบาลใหม่ปฏิรูประบบราชการ
ด้านนางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า เมื่อหลายปีก่อนเคยมีเครือข่ายภาคประชาชนและเจ้าหน้าที่ พม. มาปรับทุกข์พร้อมขอคำปรึกษากรณีผู้เสียหายที่เป็นคนต่างชาติพันธุ์ในคดีค้ามนุษย์ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ พม. ได้มีการนำเด็กซึ่งเป็นผู้เสียหายไปตรวจกระดูกเพื่อประกอบหลักฐาน ยืนยันว่าผู้เสียหายอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ถูกผู้บริหารเกลี้ยกล่อมไม่ให้ข้อมูลกับตำรวจ เพื่อช่วยเหลือนายทุนค้ามนุษย์ แต่สุดท้ายทุกคนไม่พร้อมเผชิญหน้ากับผู้บริหาร
วันนี้ข่าวแบบนี้กลับมาอีกครั้ง สะท้อนว่า วัฒนธรรมอำนาจนิยมและระบบอุปถัมภ์ยังหยั่งรากลึกในสังคมไทย ถึงเวลาต้องรื้อ ต้องถอน ต้องลดบทบาท ต้องถ่วงดุลอำนาจ แต่ไม่ใช่ทำแบบรัฐบาลก่อนๆ หรือแบบที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่พร่ำบ่น ฉุนเฉียว สั่งการซ้ำซากแต่ไม่ได้ผล จึงต้องฝากรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งว่าให้มีการปฏิรูประบบราชการเอาจริงกับการแก้ปัญหา เอาคนผิดมาลงโทษไม่ว่าจะเป็นใคร