ดีเบตผู้สนับสนุนแคนดิเดตผู้ว่าฯ ‘สวัสดิการ-ค่ารถไฟฟ้า’ สารพัดเรื่องที่มาถกกันให้เก่งขึ้นได้

workpointTODAY เปิดเวทีดีเบตผู้สนับสนุนแคนดิเดตผู้ว่าฯ THE VOTERS’ DEBATE ถกกันให้เก่งขึ้น เวทีที่รวมผู้สนับสนุน 6 แคนดิเดตเบอร์หลัก ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่จะชี้ชะตากันในวันอาทิตย์ ที่ 22 พ.ค. นี้ ซึ่งประกอบด้วย

– พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ผู้สนับสนุน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร หมายเลข 1 ในนามพรรคก้าวไกล

– มงคล ปิยสุนทร เจ้าของร้านอาหารในกรุงเทพฯ ผู้สนับสนุน สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัคร หมายเลข 4 ในนามพรรคประชาธิปัตย์

– ร.ต.ท.พงศกร ขวัญเมือง อดีตโฆษกกรุงเทพมหานคร ผู้สนับสนุน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัคร หมายเลข 6 ในนามอิสระ

– ปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ คณบดีแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต ผู้สนับสนุน รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัคร หมายเลข 7 ในนามอิสระ

– สิทธิกานต์ ธีระวัฒนชัย จาก wevis ผู้สนับสนุน ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัคร หมายเลข 8 ในนามอิสระ โดย สิทธิกานต์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทีมงานของชัชชาติ

– นาดา ไชยจิตต์ สมาชิกพรรคไทยสร้างไทย ผู้สนับสนุน น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัคร หมายเลข 11 ในนามพรรคไทยสร้างไทย

หลากมุมมอง หลายความเห็นจากผู้สนับสนุนแคนดิเดตผู้ว่าฯ ในแต่ละหัวข้อที่เกิดขึ้นจากเวทีครั้งนี้ แน่นอนว่ามีจุดที่เห็นต่างกัน แต่ก็ยังมีบางจุดที่เห็นสอดคล้องกัน ส่งเสริม ให้เกิดความเข้าใจกันยิ่งขึ้น แม้ทุกคนจะกำลังอยู่ในฐานะ “กองเชียร์” ของคู่แข่งขันในสนามเลือกตั้งครั้งสำคัญนี้ อย่างเช่นหัวข้อ “สวัสดิการผู้สูงอายุ-พัฒนาศูนยเด็กเล็ก” 

โดย พรรณิการ์ เปิดประเด็นว่านโยบายบางเรื่องดีจนเกินกว่าที่ประชาชนคาดคิดว่าจะได้รับ แต่เมื่อได้รับแล้ว จะไม่มีนักการเมืองคนไหนกล้าเปลี่ยนแปลง เช่นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค และว่า เรื่องพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก ที่นโยบายของวิโรจน์ บอกว่า 5,000,000 บาท ต่อ 1 ศูนย์นั้น ภายในระยะเวลา 4 ปี คิดเป็น 2 % ของงบทั้งหมดเกือบแสนล้านบาทที่กทม. มี โดยนำงบกลางของผู้ว่าฯ จาก 7,000 ล้านบาท เป็น 14,000 ล้านบาท ในยุคของพล.ต.อ.อัศวิน เอามาทำศูนย์เด็กเล็กก็พอแล้วไม่ต้องหาจากที่อื่น นอกจากนี้การเก็บภาษีที่ดิน ที่จะกลับมาเก็บ ตรงนี้ก็สามารถนำมาเป็นสวัสดิการผู้สูงอายุ 1,000 บาทต่อเดือนได้แล้ว แต่สำหรับ 3,000 บาท ใช้งบมหาศาล เงินรั่วไหลจากคอรัปชั่นเยอะ แต่ไม่เพียงพอที่มาจ่าย 3,000 บาทแน่ๆ

ขณะที่ ร.ต.ท.พงศกร บอกว่า นโยบายบางเรื่อง เห็นด้วยอย่างการเพิ่มสวัสดิการ การกระจายงบไปให้ ที่ผ่านมาทำไปแล้วแต่ยังได้ไม่เยอะ ประมาณ 3,000,000 บาทต่อเขต แต่กระบวนการขาดการร่วมมือจากประชาชนโดยชัดเจน แต่ประเด็นที่จะกระจายไปทุกอย่างอาจไม่ยั่งยืน คิดว่าไม่ใช่ทางเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง มองว่าสามารถไปด้วยกัน เช่น งบ 5,000,000 บาทต่อ 1 ศูนย์เด็ก แต่กรอบเงินจะเป็นไปได้ขนาดไหน และย้ำ ถ้า 4 ปี เป็นไปได้ แต่ต้องดูหลายๆ อย่างรวมกัน ส่วนนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ 3,000 บาท เห็นว่าดีแต่ต้องวางให้ครอบคลุม แต่อาจจะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ กรณีคนต่างจังหวัดที่อยากได้เงิน 3,000 ล้านบาท ทุกคนพูดว่า 80,000 บาท แต่รายจ่ายของกทม.มีถึง 30,000 ล้านบาท

ส่วน ปานเทพ บอกว่า นโยบายของผู้สมัคร รสนา เรื่อง “บำนาญ 3,000 บาท” เริ่มต้นได้ก่อนที่ กทม. ไม่ใช่เพราะความเพ้อฝัน แต่คิดว่าต้องฝากนโยบายไว้ให้เป็นตำนานของคนกรุงเทพฯ ว่าเขาต้องการอะไร วันนี้ 600 บาทเบี้ยสูงวัย หมายความว่าอยู่กรุงเทพฯ ใช้เงินวันละ 20 บาท ไม่มีทางพอ บำนาญ 3,000 บาท ถ้าไม่ปราบทุจริตทำไม่ได้ และถ้าไม่ฝ่าวิกฤติโควิดนี้ ก็ไม่มีใครหารายได้ได้ ย้ำสามารถทำได้โดยจะใช้เงินเพียง 14,000 ล้านบาทต่อปี จาก จัดการทุจริตในกทม. เฉพาะครึ่งหนึ่งของงบลงทุน และทรัพย์สินในกรุงเทพธนาคม แปรขยะที่เป็นรายจ่ายให้เป็นรายได้ ส่วนป้องคนคนต่างจังหวัดไหลเข้ามา คือกำหนดวันที่

ด้าน นาดา กล่าวว่า สิ่งแรกที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทยตั้งพรรคสิ่งแรกที่ประกาศคือเรื่องบำนาญประชาชน 3,000 บาท เป็นพรรคแรกๆ ที่ประกาศเช่นนี้ ซึ่งงบประมาณที่จะนำมาใช้คิดว่าอยู่ที่การจัดสรร เราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว กทม. มีผู้สูงอายุสูงสุดถึง 1.8 ล้านคน ถ้าไม่สามารถดูแลคนกลุ่มนี้ได้ หวังพึ่งแต่งบจากแผ่นดินอย่างเดียวที่ปันมาให้ไม่พอ ผู้ว่าฯ จะต้องหาเงิน ยืนยันว่าทำไมต้องเชียร์คุณศิธา เพราะจากประสบการณ์ที่เป็นผู้บริหารองค์กรต่างๆ หาเงินได้ตลอด สามารถดึงทรัพยากรได้ แล้วใช้เทคโนโลยีบริหารลดต้นทุนลดค่าใช้จ่าย อีกทั้งมีแนวคิดออก Bangkok Token

ต่อมาที่ มงคล  บอกว่า ที่ชอบนโยบายของสุชัชวีร์ มีความต่างตรงที่การจะนำกองทุนไปไว้ในชุมชน แล้วให้ชุมชนเลือกอาชีพไปพัฒนาเอง คิดว่าจะมีความยั่งยืนกว่า เช่น บางชุมชนเหมาะกับการทำตลาดมากกว่าทำอาหารขาย หรือการรับเงินไปตัดเย็บชุดนักเรียน แล้วกทม. เป็นผู้ซื้อ นำมาแจกตามโรงเรียนในสังกัดกทม. ดูยั่งยืนกว่าการทำเงินไปแจก ซึ่งคล้ายกับประชานิยม

สิทธิกานต์ แสดงความเห็นว่า ทั้งเรื่องสวัสดิการ หรือปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ส่วนหนึ่งที่จะแก้ได้คือการ Empower คน ทำให้คนมีส่วนร่วมในเรื่องต่างๆ ซึ่งคุณชัชชาติมีนโยบายให้คนประเมินการทำงานของกทม. คิดว่าจะช่วยเรื่องพวกนี้ได้ โดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการครบตั้งแต่เด็กถึงวัยชรา แต่ควรเพิ่มในการศึกษา สุขภาพ คิดว่าควรจะพัฒนาเรื่องพวกนี้ไปควบคู่กับตัวเงินด้วยเพื่อพัฒนาคนให้เติบโตไปพร้อมๆ กับการเติบโตของเมือง

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลาย “หัวข้อ” ที่เพิ่มอุณหภูมิให้เวทีได้แสดงความเห็นทั้งเรื่องเกี่ยวกับปัญหาค่าใช้จ่ายของคนกรุงเทพฯ ในชีวิตประจำวัน อย่าง “ค่ารถไฟฟ้า” ที่ ผู้สนับสนุนแคนดิเดตผู้ว่าฯ เห็นตรงกันว่า ควรมีการเปิดสัญญาก่อนการต่อสัมปทาน และค่าโดยสารควรเป็นราคาที่เป็นธรรมและถูกที่สุด ในประเด็นนี้มีการดีเบตทางข้อมูลและความเห็นโดยเฉพาะระหว่าง ‘ปานเทพ’ ผู้สนับสนุนของ ‘รสนา’ กับ ‘ร.ต.ท.พงศกร’ ผู้สนับสนุน ‘พล.ต.อ.อัศวิน’

ไฮไลต์อีกประเด็น คือการให้ผู้สนับสนุนตัดสินใจเลือกแคนดิเดตผู้สมัครผู้ว่าฯ นอกเหนือจากคนที่ตัวเองเชียร์ ซึ่งปรากฏว่า มีแคนดิเดต 1 คน ที่ถูกเลือกจากผู้สนับสนุนคนอื่นถึง 3 คน จะเป็นใคร อย่างไรนั้น ชวนชมจากคลิปเต็มๆ ได้ที่นี่