ทรัมป์ประกาศรับรองนครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เผยเตรียมย้ายสถานฑูตสหรัฐฯ ตามไปด้วย ทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากทั่วโลก ที่กล่าวว่า การกระทำของทรัมป์จะกระทบการสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดแถลงข่าวยืนยันลงนามในประกาศรับรองว่า นครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล แม้ว่าจะมีเสียงทักท้วงจากทั้งชาติพันธมิตรอาหรับ ประเทศในตะวันออกกลาง และยุโรป
การลงนามครั้งนี้ เป็นการแหกกฎหมายนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยทรัมป์อ้างว่าการรับรองจะขยับกระบวนการสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ไปได้ นอกจากนี้ยังเปิดเผยอีกว่า มีคำสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เริ่มเตรียมการย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทลอาวีฟ ไปยังนครเยรูซาเล็มแล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=nJvf_S8O-q4
อย่างไรก็ตาม การประกาศรับรองสถานะของนครเยรูซาเล็ม เป็นการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ตามที่เคยประกาศไว้ระหว่างการหาเสียงว่าจะย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทล อาวีฟ ไปยังนครเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นสิ่งที่อิสราเอลปรารถนามาเป็นเวลานาน
ด้านนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกมาขานรับคำประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยระบุว่าเป็นวันประวัติศาสตร์และอิสราเอลรู้สึกซาบซื้งต่อการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นอย่างมาก

ประท้วงที่ฉนวนกาซา
ขณะที่แน่นอนว่าประชาคมโลกส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่า เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล โดยเฉพาะชาติมุสลิมที่แสดงความไม่เห็นด้วย อาทิ นายมาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ ที่กล่าวว่า “…สหรัฐฯ ไม่ควรเป็นผู้ไกล่เกลี่ยสันติภาพในตะวันออกกลางอีกต่อไป การตัดสินใจของทรัมป์ เป็นเรื่องเลวร้ายและจงใจคุกคามกระบวนการสันติภาพ…”
อยาตอลเลาะห์ คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณของอิหร่านคู่ปรับของสหรัฐฯ กล่าวว่า “…เจตนารมณ์ในการย้ายสถานทูตไปยังเยรูซาเลม เป็นสัญญาณบ่งชี้ความไร้น้ำยาและความล้มเหลวของวอชิงตัน โดยบอกว่า อเมริกาถูกมัดมือในประเด็นปาเลสไตน์ และไม่สามารถผลักดันเป้าหมายของตัวเองได้…”
นายเรเซป เทยิป เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี กล่าวว่า “…การตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นการล้ำเส้นชาวมุสลิมมากเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้…”
แม้แต่พันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างซาอุดิอาระเบียก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน โดย สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย ทรงตรัสว่า “…การย้ายสถานทูตหรือการยอมรับเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล จะถือเป็นการยั่วยุอย่างร้ายแรงต่อชาวมุสลิมทั่วโลก…”

อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ
ด้านนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ก็ออกมากล่าวว่า “…การตัดสินใจของทรัมป์เป็นการดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว และอาจส่งผลกระทบต่อการแก้ปัญหาของทั้ง 2 รัฐ ที่ต่อสู้กันมายาวนานเพื่อแย่งชิงดินแดนนครเยรูซาเล็ม ปัญหานี้ควรจะแก้ไขผ่านการเจรจาทั้ง 2 ฝ่าย โดยยึดมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นหลัก…”
แม้การย้ายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลมต้องใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 3 – 4 ปี แต่ท่าทีตอบของประชาชนในตะวันออกกลางนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีรายงานการประท้วงพร้อมทั้งเผาธงชาติสหรัฐฯ ธงชาติอิสราเอล และภาพของทรัมป์ ในหลายพื้นที่ของปาเลสไตน์และฉนวนกาซา รวมทั้งในตุรกีที่มีผู้ประท้วงหลายร้อยคนมาชุมนุมกันหน้าสถานกงสุลสหรัฐฯ ในนครอิสตันบูล

ชาวปาเลสไตน์ประท้วง – เผาภาพ ปธน.ทรัมป์ ที่เมืองเบธเลเฮม ทางตอนใต้ของเยรูซาเลม เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 60
ทั้งนี้ ทรัมป์ไม่ใช่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่คิดจะย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทลอาวีฟไปยังเยรูซาเลม โดยผู้ที่เคยผลักดันแนวคิดนี้มาก่อนคือนายจอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช และนายบิล คลินตัน แต่อดีตผู้นำทั้งสองคนก็ยกเลิกแนวคิดดังกล่าวไป และมีคำสั่งเลื่อนบังคับใช้กฎหมายการตั้งสถานทูตสหรัฐฯ ในอิสราเอลแทน ซึ่งในสมัยของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนก่อนหน้านี้ ก็ใช้วิธีลงนามในคำสั่งเลื่อนบังคับใช้กฎหมายทุกๆ 6 เดือน
นักวิเคราะห์ก็ประเมินว่า ทรัมป์จะทำแบบเดียวกันนี้ แต่ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องประกาศรับรองเยรูซาเลมในฐานะเมืองหลวงอิสราเอล เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลของเขาประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศตามที่หาเสียงไว้