ปัญหาของการพัฒนาเมือง เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงทั้งในเวทีสาธารณะและเวทีระดับประเทศ การพัฒนาเมืองถือเป็นเรื่องสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว และเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศนั้นมีแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจ การพัฒนาคุณภาพชีวิต การสร้างนวัตกรรม การลดปัญหาประชากรว่างงาน และเป็นเมืองที่ดึงดูดการลงทุนในอนาคต
รวมถึงมิติเชิงสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาเมืองที่ดีและมีประสิทธิภาพย่อมส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นตามไปด้วย การเข้าใจความหลากหลายของเมืองในแต่ละพื้นที่เป็นเรื่องที่ท้าทายของการบริหารจัดการเป็นอย่างมาก เพราะบริบทปัญหาของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน การบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยใช้ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ขนาดใหญ่ (Big Geo-Spatial Data) จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาเมืองได้อย่างยั่งยืน
เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ จุดเริ่มต้นของการพัฒนาเมือง
เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมีบทบาทในด้านการพัฒนาพื้นที่ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ความหลากหลายซับซ้อนของพื้นที่ถูกรวบรวมเป็นข้อมูลและจัดวางให้อยู่ในรูปแบบของแผนที่ ครอบคลุมด้านต่างๆ ตั้งแต่ขอบเขตการปกครอง ผังเมือง โครงข่ายสาธารณูปโภค เส้นทางการคมนาคม แหล่งชุมชน แหล่งท่องเที่ยว พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่สาธารณะ การใช้ประโยชน์ที่ดิน ไปจนถึงเส้นทางระบายน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วม ให้สามารถเห็นรูปแบบความสัมพันธ์ของแต่ละปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้
พร้อมทั้งเห็นความเชื่อมโยงของปัญหา เพื่อการวางแผนบริหารจัดการพื้นที่เมืองที่มีความซับซ้อนและแตกต่าง วิเคราะห์การจัดสรรทรัพยากร งบประมาณ และวางผังเมืองแบบองค์รวมได้อย่างเหมาะสม ซึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญโดยตรงในฐานะต้นทางของแหล่งข้อมูลสำคัญอย่าง GISTDA หรือ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) มีคลังข้อมูลเชิงพื้นที่ขนาดใหญ่ (Big Geo-Spatial Data)ซึ่งได้จากเทคโนโลยีจากภาพถ่ายดาวเทียมมาวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อส่งต่อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนและจัดทำแนวนโยบาย การบริหารจัดการเชิงพื้นที่หรือการพัฒนาให้สอดรับกับพื้นที่นั้นๆ ต่อไป
AIP นวัตกรรมภูมิสารสนเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่
Actionable Intelligence Policy หรือ AIP Platform ที่ GISTDA กำลังมุ่งมั่นพัฒนา เป็นนวัตกรรมเชิงนโยบายในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยหลอมรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง มาประมวลผล วิเคราะห์ และคาดการณ์แนวโน้ม ร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้ง Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning เพื่อค้นหาและสกัดข้อมูลเชิงลึกบนพื้นที่และประชากรเป้าหมาย สร้างการตัดสินใจเชิงนโยบายบนหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Decision Making) เพื่อออกแบบแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสม ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเชิงพื้นที่ และนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
ปัจจุบัน AIP Platform ได้ดำเนินการในพื้นที่นำร่องเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่ต่างกันไป ประกอบไปด้วย การแก้ไขปัญหาความยากจน เหลื่อมล้ำ ขาดแคลนที่ดินทำกิน และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของจังหวัดน่าน และการวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ รวมทั้งการจัดการผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ EEC โดยจะขยายการประยุกต์ใช้ประโยชน์ไปยังพื้นที่อื่นๆ ในอนาคต
EEC พื้นที่นำร่องใช้เทคโนโลยี AIP สู่การพัฒนาเมือง
พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC นับว่าเป็นหนึ่งพื้นที่ศักยภาพสูงของประเทศ และถูกกำหนดให้เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ ทั้งในด้านของการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการพัฒนาพื้นที่ชุมชน และเพื่อให้เกิดความสอดคล้องและสมดุลกันในการพัฒนาทุกมิติ นวัตกรรม AIP จึงถูกนำไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) จากหลายแหล่งที่มีความซับซ้อน สกัดเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่จะนำไปสู่การลงมือปฏิบัติได้จริง
GISTDA และหน่วยงานพันธมิตรได้ร่วมออกแบบกรอบแนวคิดในการพัฒนาที่เรียกว่า ‘Land of 5 Zero’s’ เพื่อขจัด 5 ปัญหาอุปสรรคในพื้นที่ให้หมดไป หรือเบาบางลงจนไม่ส่งผลกระทบ อันประกอบด้วย ความยากจนของประชาชน (Zero Poverty) การขาดทรัพยากรน้ำ (Zero Water Shortage/Conflict) ปัญหาขยะ (Zero Waste) ปัญหามลพิษ (Zero Emission/Pollution) และ การกัดเซาะชายฝั่ง (Zero Loss of Shoreline) โดยมุ่งเน้นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน บนพื้นฐานของความยั่งยืน