ทีมนักวิจัยอังกฤษพบผู้ติดเชื้อ ‘โอไมครอน’ เสี่ยงเกิด ‘ลองโควิด’ น้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์ก่อนหน้า

สหราชอาณาจักรเปิดผลวิจัยล่าสุดพบข้อบ่งชี้ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนมีแนวโน้มก่อให้ภาวะลองโควิด (Long COVID) น้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีการระบาดก่อนหน้านี้

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ทีมนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ได้ทำการศึกษาโดยใช้ข้อมูลจากแอปพลิเคชัน ZOE COVID Symptom พบว่าโอกาสในการเกิดภาวะลองโควิดหลังจากติดเชื้อไวรัสสายพันธ์โอไมครอนลดลงราว 20-50% เมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวจะแตกต่างกันไปตามอายุ และระยะเวลาการฉีดวัคซีนครั้งสุดท้ายของผู้ป่วย 

ทั้งนี้ ภาวะลองโควิดเป็นอาการที่เกิดขึ้นภายหลังจากติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยอ่อนแอลง โดยจะมีอาการไปนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และได้กลายมาเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขมากขึ้นเรื่อยๆ จนบรรดานักวิจัยต่างให้ความสนใจและพยายามเร่งหาคำตอบว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ทั่วโลกและทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในขณะนี้ มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดภาวะลองโควิดเทียบเท่ากับสายพันธุ์ที่มีการระบาดก่อนหน้านี้หรือไม่

ทีมนักวิจัยระบุว่า แม้ผลวิจัยชิ้นนี้จะเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นว่าไวรัสโอไมครอนไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะลองโควิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจำนวนผู้ป่วยที่เกิดภาวะดังกล่าวจะมีจำนวนลดลง เนื่องจากว่าแม้ความเสี่ยงในการเกิดภาวะลองโควิดในกลุ่มผู้ป่วยที่ติดเชื้อโอไมครอนจะลดลงจากสายพันธุ์อื่นๆ แต่ผู้ติดเชื้อกลับมีจำนวนสูงขึ้นซึ่งทำให้ผู้ภาวะลองโควิดเพิ่มจำนวนขึ้นตามไปด้วย 

“แม้การค้นพบนี้จะเป็นข่าวดี แต่ได้โปรด อย่ายกเลิกบริการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะลองโควิด” ดร.แคลร์ สตีเฟนส์ หัวหน้าทีมวิจัยเปิดเผยกับรอยเตอร์ส

ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักรพบว่า ในเดือนพ.ค. มีประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 และเกิดภาวะลองโควิดมากถึง 438,000 ราย ซึ่งคิดเป็น 24% ของผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว