ผบ.ทอ. แจงโครงการซื้อเครื่องบิน F-35 ช่วยพัฒนาทันสมัย เด่น 5 ข้อ ขออย่าโยงปม ‘เมียนมา’ ล้ำแดนไทย

ผบ.ทอ. แจงโครงการจัดซื้อเครื่องบิน F-35 ช่วยกองทัพอากาศพัฒนาทันสมัย ชี้คุณสมบัติเด่น 5 ข้อ ขออย่านำมาโยงปมเมียนมาบินล้ำแดนไทย

พล.อ.อ.นภาเดช ธูปเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่โลกโซเชียลออกมาระบุว่า หากประเทศไทยมีการจัดหาเครื่องบินขับไล่ F-35 ประเทศเพื่อนบ้านจะให้ความเกรงใจหรือไม่นั้นว่า ไม่อยากให้นำเรื่องที่เมียนมาลุกล้ำเขตแดนกับเรื่องซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35 มาโยงกัน และภัยคุกคามกองทัพอากาศคือความล้าสมัย ซึ่งในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเกิดขึ้น หากไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้ในอนาคตกองทัพอากาศ จะเป็นกองทัพอากาศอย่างที่ทุกคนค่อนแคะว่าไม่มีประสิทธิภาพ ตนขอย้ำว่าโครงการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35 จะเป็นโครงการที่จะนำให้เกิดความทันสมัยในกองทัพอากาศ หากว่าเราคิดจะมีของดี ก็ไม่อยากให้คนไทยขัดขากันเอง ช่วยกันสนับสนุนดีกว่า ถึงแม้จะพลาดไม่ได้มา ก็ขอให้เป็นขั้นตอนที่เขาไม่ขายให้เราดีกว่า ไม่ใช่มาขัดขาจนพลาด การต่อสู้ในยกแรกแทนที่จะเป็นยกสุดท้าย อยากให้คนไทยสมัครสมานสามัคคีกันทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง จึงขอว่าอย่าโยงเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวกัน เพราะมันไม่ได้เกี่ยวข้อง

พล.อ.อ.นภาเดช กล่าวว่า คุณสมบัติที่ดีเด่นของเครื่องบินยุค 5 ยกตัวอย่าง F-35 กับเครื่องบินยุค 4 ที่เรามีใช้อยู่ มีคุณสมบัติที่ต่างกัน สำคัญ 5 ประการ คือ

1.ระบบล่องหน (Stealth) เปรียบเสมือนการมีผ้าคลุมวิเศษ ซึ่งคลุมแล้วเรดาร์จะมองไม่เห็นซึ่งมีความน่าสนใจ ถ้าเรามี เราจะเรียนรู้ในการใช้งานและการป้องกัน รวมถึงประเทศใกล้ประเทศไทยก็มีแล้ว

2.คุณสมบัติในการบินด้วยท่วงท่าพิสดาร หรือขีดความสามารถทางการบินที่หลากหลาย จะนำมาซึ่งยุทธวิธีและชัยชนะ

3.การมีเซนเซอร์รอบตัว พูดง่ายๆ ก็คือเวลานักบินใส่หมวก แล้วก้มลงมองในขณะที่บินอยู่ เขาไม่ได้มองเห็นพื้นเครื่องบินแต่เขาเห็นพื้นดิน ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน

4.ความสามารถในการบินเดินทางด้วยความเร็วเสียง ซึ่งเครื่องบินยุคที่ 4 ก็ทำได้ แต่ความเร็วทำได้แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากกินน้ำมันมาก แต่ถ้าเป็นเครื่องบินในยุคที่ 5 สามารถอยู่ในภาวะนี้ได้นานมาก ซึ่งความเร็วเป็นปัจจัยของเครื่องบินรบ

5.ความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลในอนาคต ซึ่งเปรียบเสมือนยานอวกาศที่เป็นยานแม่และมียานลูกที่ไม่มีคนขับ ซึ่งทั้ง 5 คุณสมบัตินี้กองทัพอากาศไทยไม่มี

พล.อ.อ.นภาเดช ให้สัมภาษณ์ถึงข้อวิจารณ์การปฏิบัติงานของกองทัพอากาศ​ กรณีที่เครื่องบินรบประเทศเมียนมาร์ล้ำน่านฟ้า​ ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ได้มีประชาชน และแฟนคลับแสดงความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์กัน ว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศดีหรือไม่ หรือเครื่องบินของ ทอ. มีไว้ใช้ในการแสดงวันเด็กหรือเปล่า หรือกระทั่งพูดว่าผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพอากาศ มีวิจารณญาณในการตัดสินใจช้าเกินไปหรือไม่ ที่ท่านแสดงความเห็นก็มีส่วนถูกต้อง ระบบป้องกันภัยทางอากาศของเราดีมาก ไม่ใช่อย่างที่หลายคนแสดงทัศนะ เครื่องบิน และนักบินของเราดี มีความรู้ มีประสบการณ์ และสุดท้ายการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็มีการตัดสินใจที่ดี ซึ่งการตัดสินใจที่ดีไม่ได้วัดกันที่ความรวดเร็ว แต่ต้องสุขุม รอบคอบ เหมาะกับสถานการณ์

“เรามีระบบเรดาร์ตรวจจับและมีสายข่าวที่ดี สามารถรู้ได้ว่า เขาจะปฏิบัติการเมื่อใด ในพื้นที่ไหน หากรู้ล่วงหน้า ก็จะส่งเครื่องบินขึ้นไป ปฎิบัติการ Combat air patrol เพื่อแสดงท่าทีว่า พื่นที่นี้เป็นพื้นที่ของเรา หรือหาก ตรวจพบ ก็จะส่งเครื่องบินขึ้นไปลาดตระเวนรบรักษาเขต และAir interception ขอให้ประชาชนได้เชื่อมั่นในกองทัพอากาศอย่างเช่นที่เคยเชื่อมั่นมาตลอด และโปรดไว้วางใจเรา ตนเองก็เป็นเหมือนทุกท่านนั่นแหละ ที่รักชาติ จึงขอให้ความเชื่อมั่นว่า เครื่องบินที่เราส่งขึ้นไป ทั้งนี้การขึ้นไปของนักบินของเรา ยังพบว่า​ทางโน้นยังมีความพลั้งพลาดด้วยเจตนาจงใจหรือไม่ก็ตาม เราจะดำเนินการในขั้นเด็ดขาด แต่ภายใต้ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ใหญ่ ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และไม่ทำให้เรื่องใหญ่ ให้ใหญ่ขึ้นไปอีก” ผบ.ทอ. กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีอีกครั้งจะดำเนินการอย่างไร ผบ.ทอ. กล่าวว่า โดยปกติการป้องกันภัยทางอากาศมี 3 ลำดับ พิสูจน์ฝ่าย สกัดกั้น ทำลาย แต่เมียนมาร์คือเพื่อน ถ้าเพื่อนพลั้งเผลอเดินตัดสนามหน้าบ้านแล้วเราจะไปยิงเขาตายเลย ก็เกินไป เพราะฉะนั้นการปฏิบัติการที่เหมาะสม จึงอยู่บนพื้นฐานเพื่อนปฏิบัติต่อเพื่อน ตนเชื่อว่าขณะนี้เขาตระหนักในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น