‘ดีแทค’ (DTAC) ค่ายมือถืออันดับต้นๆ ของไทยประกาศกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ 1,004 ล้านบาท ลดลง 33% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
แต่หากเทียบกับไตรมาสก่อนจะเพิ่มขึ้น 38.2% จากกำไรสุทธิก่อนหักค่าใช้จ่าย (EBITDA) ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนงวดครึ่งแรกของปี 2565 กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,730 ล้านบาท ลดลง 26% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่รายได้รวมในไตรมาส 2 อยู่ที่ 19,960 ล้านบาท ลดลง 0.1% จากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 0.8 จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการแข่งขันที่เข้มข้น แม้ถูกชดเชยบางส่วนด้วยยอดขายเครื่องโทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายอยู่ที่ 13,921 ล้านบาทในไตรมาสนี้ ลดลง 2.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของรายได้จากการให้บริการโทรทางไกลระหว่างประเทศ และสภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม ยังเพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาสก่อน จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระดับมหภาคที่เป็นไปอย่างช้าๆ
รายงานระบุว่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2565 ดีแทคมีจำนวนผู้ใช้บริการรวม 20.3 ล้านเลขหมาย เพิ่มขึ้น 412 พันเลขหมายจากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าระบบเติมเงินที่เพิ่มขึ้น 413 พันเลขหมายจากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 14.1 ล้านเลขหมาย
ส่วนลูกค้าระบบรายเดือนลดลง 0.7 พันเลขหมาย เนื่องจากการปรับปรุงฐานข้อมูลจำนวนผู้ใช้บริการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
สำหรับรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (ARPU) สำหรับไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 230 บาทต่อเดือน ลดลง 7.1% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ 0.7% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจ
โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2565 ลูกค้าในระบบรายเดือนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 31% ของจำนวนลูกค้ารวม รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายของลูกค้าระบบรายเดือนในไตรมาสนี้อยู่ที่ 489 บาทต่อเดือน ลดลง 1.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.4% จากไตรมาสก่อน
ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายของลูกค้าระบบเติมเงินอยู่ที่ 114 บาทต่อเดือน ลดลง 11.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลงเล็กน้อย 0.6% จากไตรมาสก่อน
ปริมาณการใช้งานบนเครือข่าย 4G-2300MHz ของ TOT ยังคงอยู่ที่ระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้าตามวิถีใหม่ (New Normal)
จำนวนสถานีฐานบนเครื่อข่าย 4G-2300MHz ภายใต้ความร่วมมือกับ TOT อยู่ที่ประมาณ 21,700 สถานีฐาน ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2565 จำนวนผู้ใช้บริการบนระบบ 4G อยู่ที่ 16.3 ล้านเลขหมาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 81% ของฐานลูกค้ารวม
ในขณะที่จำนวนเครื่องโทรศัพท์ที่รองรับการใช้งานในระบบ 4G และสัดส่วนสมาร์โฟนเพิ่มขึ้นเป็น 88% และ 89.7% ของฐานลูกค้ารวม ตามลำดับ
จากผลกระทบที่ยืดเยื้อจากโรคระบาด และการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ดีแทคได้ปรับปรุงแนวโน้มของรายได้ในการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย – IC) ให้อยู่ในระดับคงที่จนถึงลดลงในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำสำหรับปี 2565
ในขณะที่ EBITDA จะอยู่ในช่วงแนวโน้มที่ให้ไว้ และแนวโน้มจำนวนเงินลงทุนปรับตัวมาอยู่ที่ 11-13 พันล้านบาท
สำหรับแนวโน้มสำหรับปี 2565 คาดว่า
– รายได้จากการให้บริการไม่รวม IC: คงที่ จนถึง ลดลงในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ
– EBITDA: คงที่ จนถึง เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ)
– จำนวนเงินลงทุน: 11,000 – 13,000 ล้านบาท
ดีแทคคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลโดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิของบริษัท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินและแผนการประกอบธุรกิจของบริษัทในอนาคต โดยบริษัทมีเป้าหมายพิจารณาจ่ายเงินปันผลทุกครึ่งปี