‘ยุทธพงศ์’ จัดหนัก ‘สันติ รมช.คลัง’ ทุจริตโครงการท่อส่งน้ำอีอีซี 25,000 ล้าน ด้านรมช.คลัง ฟาดกลับไปรับงานจากอีสท์วอเตอร์หรือเปล่า

‘ยุทธพงศ์’ จัดหนัก ‘สันติ รมช.คลัง’ ทุจริตโครงการท่อส่งน้ำอีอีซี มูลค่า 25,000 ล้านบาท ขณะที่ ‘รมช.คลัง’ ฟัดกลับไปรับงานจากอีสท์วอเตอร์หรือเปล่า

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รมช.คลัง) ในการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่ 2 (20 ก.ค. 2565) โดยระบุตอนหนึ่งว่า การประมูลโครงการท่อส่งน้ำในภาคตะวันออก (อีอีซี) ว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมทุจริตต่อหน้าที่ ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและแสวงหาประโยชน์ในหน่วยงานที่กำกับดูแล เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ไม่รักษาดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง

โครงการท่อส่งน้ำในภาคตะวันออกของกรมธนารักษ์ การคัดเลือกเอกชนในการบริหารงานมีการทำผิดกฎหมาย ทำให้รัฐเสียหาย มีการทุจริตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนล้มเหลว ได้เอกชนที่ไม่มีศักยภาพมาบริหารโครงการ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจ่ายค่าน้ำแพง และทำลายอีอีซี ซึ่งเรื่องนี้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็หนีความรับผิดชอบไม่ได้เช่นกัน การคัดเลือกโครงการครั้งนี้มีการเอื้อเอกชน ไม่โปร่งใสไม่สุจริต มีการจัดฉากล้มการคัดเลือกและเอื้อประโยชน์กับเอกชนบางราย ที่ไม่เคยบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำมาก่อนให้สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ ไปได้บริษัทเอกชนเล็กๆ และเห็นชอบให้ดำเนินการ ไม่มีศักยภาพ

นายยุทธพงศ์ ระบุว่า กรมธนารักษ์คัดเลือกเอกชนที่ดำเนินการโครงการระบบท่อส่งน้ำสายหลักภาคตะวันออกไม่ใช้วิธีการประมูล โดยอ้างว่าเพื่อให้ได้ผู้เข้าร่วมประมูลที่มีศักยภาพและมีประสบการณ์บริหารโครงการ แต่ท้ายสุดแล้วกลับได้ บริษัท วงศ์สยาม จำกัด ซึ่งเป็นเพียงผู้รับเหมาก่อสร้างงานวางท่อน้ำที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐมาก่อน และไม่เคยมีประสบการณ์บริหารระบบท่อส่งน้ำมาก่อนเป็นผู้ชนะการคัดเลือก ซึ่งเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดสำหรับการร่วมลงทุนในโครงการของรัฐให้สามารถกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าร่วมการคัดเลือกโดยไม่ต้องมีประสบการณ์มาก่อน ในอนาคตหากโครงการประสบความล้มเหลวจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อประชาชนและอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เปิดเผยข้อมูลว่า บริษัท วงศ์สยามก่อสร้าง จำกัด มีฐานะการเงิน ทุนทุนจดทะเบียนเพียง 630 ล้านบาท สินทรัพย์ 1,615 ล้านบาท หนี้สิน 368 ล้านบาท ทรัพย์สินหักหนี้สิน 1,247 ล้านบาท ขณะที่บริษัทอิสวอเตอร์ มีทุนจดทะเบียนมากกว่า และมีสินทรัพย์ การคัดเลือกครั้งนี้ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากกระบวนการคัดเลือกบิดเบี้ยวผิดวัตถุประสงค์ ประชาชนต้องจ่ายค่าน้ำแพง และลดทอนศักยภาพการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในอีอีซี

สรุปแล้วนายสันติสร้างความเสียหายให้กับโครงการท่อส่งน้ำสายหลักในอีอีซีที่ได้รับมอบอำนาจเป็นประธานคณะกรรมการที่ราชพัสดุสร้างความเสียหายให้กับโครงการโดยไม่เปิดให้มีการประมูลแข่งขัน ทำให้ผิดกฎหมายพ.ร.บ.ร่วมทุน เอื้อประโยชน์ให้เอกชนที่ไม่มีศักยภาพและทำให้ค่าน้ำแพงสร้างความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี

อย่างไรก็ตามการดำเนินการขั้นกฏหมายต่อไป ตนไม่สามารถไว้วางใจให้นายสันติบริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป ขอให้มีการเปิดประมูลการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำอุปโภคและบริโภคในราคาที่เป็นธรรม และเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมในอีอีซีมีศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศมากขึ้น ถ้านายอาคมในฐานะประธานคณะกรรมการที่ราชพัสดุปล่อยให้มีการลงนามในสัญญา ตนก็จะดำเนินการฟ้องร้องต่อป.ป.ช. และศาลทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งนายอาคมและนายสันติต่อไป

⚫ ‘สันติ’ แฉกลับ ใครไปรับงานจากอีสท์วอเตอร์หรือเปล่า

ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รมช.คลัง) อภิปรายชี้แจงว่า โครงการท่อส่งน้ำภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีบริษัท อีสท์วอเตอร์ จำกัด ดำเนินการจัดส่งน้ำเพื่ออุปโภคและอุตสาหกรรม มีสัญญากรมธนารักษ์บริหารจัดการน้ำ 3 ส่วน ซึ่งสัญญาส่วนหนึ่งจะสิ้ดสุดในปี 2566 จึงจ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นที่ปรึกษา โดยได้เสนอให้ใช้วิธียกเว้นการประมูล และคัดเลือกเอกชน พร้อมกำหนดเงื่อนไขเจรจาเพื่อประโยชน์ภาครัฐ เพื่อเกิดการแข่งขันระหว่างเอกชน จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเปิดยื่นข้อเสนอโดยกรมธนารักษ์กำหนดวัตถุประสงค์ในการดำเนินการไว้อย่างชัดเจน ที่มีผู้เสนอตัว 5 ราย ในครั้งที่ 1 และมีบริษัท สยามก่อสร้าง จำกัด และบริษัท วิค จำกัด (มหาชน) เพิ่มมาอีก 2 ราย

การยื่นข้อเสนอครั้งที่ 1 บริษัท อีสท์วอเตอร์ และบริษัท วงศ์สยามก่อสร้าง ได้ยื่นเสนอปริมาณน้ำ ค่าแรกเข้าเพื่อสัญญา และผลประโยชน์ตอบแทนรายปีก็เกิดความลักลั่นกันแล้ว จึงให้มีการยกเลิกการยื่นข้อเสนอในรอบแรก แม้จะมีการยื่นศาลปกครองขอให้คุ้มครองชั่วคราว แต่ศาลก็วินิจฉัยว่าการยกเลิกการยื่นข้อเสนอ จึงไม่มีเหตุว่า ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิ์ผู้ยื่นประกวดราคา

ส่วนการยื่นข้อเสนอครั้งที่ 2 บริษัท วงศ์สยามก่อสร้าง เสนอผลประโยชน์ให้กับรัฐบาลมากกว่า บริษัท อีสท์วอเตอร์ จึงอยากให้นายยุทธพงษ์ มองย้อนไปว่าตลอด 30 ปีที่ผ่าน บริษัท อีสท์วอเตอร์ได้ให้ผลตอบแทนรัฐบาลกว่า 600 ล้านบาท แทนที่จะไปพูดไม่วางใจตนว่าไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ

“การที่ท่านพูดโน้มเอียงไปทางบริษัท อีสท์วอเตอร์เป็นการรักษาผลประโยชน์หรือไม่ แต่ 30 ปีจากนี้ไปบริษัท วงศ์สยามก่อสร้าง จะจ่ายให้รัฐบาล 25,693 ล้านบาท แล้วที่กำลังกดดันให้ยกเลิกและเปิดประมูลใหม่ ถามว่าถ้าประมูลให้ขึ้นมาแล้ว มีการยื่นข้อเสนอมาเหมือนครั้งแรก ใครจะรับผิดชอบกับเงินของรัฐที่ขาดหายไป ถามจริงๆ เถอะ ว่าท่านไปรู้ข้อมูลมากกว่าตนได้อย่างไร แสดงว่ามันคงมีอะไรสักอย่างหนึ่ง มีใครไปรับงานไปจากอีสท์วอเตอร์หรือเปล่า” รมช.คลัง กล่าว

นายสันติ บอกตรงๆ ว่า ในระบบท่อส่งน้ำภาคตะวันออกของกรมธนารักษ์ที่อีสท์วอเตอร์รับไปทำอยู่นั้น มันก็มีปัญหาพอสมควร เชื่อว่าเจ้าหน้าที่บางส่วนของเรามีปัญหา รมช.คลังต้องทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐ และเวลานี้สัญญายังไม่ได้เซ็น ท่านจะมากล่าวหาตน กล่าวหาคณะกรรมการ และกล่าวหาเจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์ได้อย่างไร ยืนยันว่า กรมธนารักษ์ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย และประกาศของคณะรัฐมนตรี จึงจะดำเนินการได้ การที่ไม่ประกวดราคาทั่วไป เพราะเป็นโครงการที่มีความสำคัญ

“ผมขอเรียนท่านตรงๆ ว่า ทั้งอีสท์วอเตอร์ หรือวงศ์สยามก็ดี ไม่เคยเจอกันกับผม โทรศัพท์ก็เคยไม่เจอ ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใดๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำไมผมต้องไปเอื้อใคร ผมมีฐานะของผมพอสมควรอยู่แล้ว ไม่มีความจำต้องเอื้อใคร ผมเอื้อให้ผลประโยชน์ของรัฐเต็มที่” นายสันติ กล่าว