อัตราเงินเฟ้อพุ่งแตะ 7.1% ในเดือน พ.ค. 2565 สูงสุดในรอบ 13 ปีแล้ว

หลังจากค่าครองชีพ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพลังงานและอาหารปรับตัวขึ้นจนทุกคนเริ่มรู้สึกได้ ในที่สุดก็สะท้อนออกมาเป็นตัวเลข ‘อัตราเงินเฟ้อ’ ในเดือน พ.ค. 2565 ที่ปรับตัวสูงขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 โดยมีสาเหตุหลักๆ มาจาก

สินค้าในกลุ่มพลังงาน ราคาสูงขึ้น 37.24% โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นตามสถานการณ์พลังงานโลก การยกเลิกการตรึงราคาก๊าซหุงต้มทำให้มีการปรับราคาขึ้นเป็นขั้นบันได และการปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (FT)

สินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ราคาสูงขึ้นในเกือบทุกกลุ่ม โดยสินค้าสำคัญๆ ที่ราคาเพิ่มขึ้น คือ เนื้อสุกร ไก่สด ไข่ไก่ ผักสด และเครื่องประกอบอาหาร ซึ่งราคาสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิต

ส่วนมีสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง ได้แก่ ข้าวสาร เครื่องนุ่งห่ม และค่าการศึกษา

หากย้อนกลับไปในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในภาพรวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากในช่วงเดือน ส.ค. 2564 ที่ลงไปถึงจุดต่ำสุด ณ -0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ

หลังจากนั้น สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ ผู้คนทั่วโลกเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาพลังงานโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับ แม้ภาครัฐจะพยายามตรึงราคาพลังงานในประเทศเอาไว้ในช่วงเดือน ธ.ค. 2564

ก่อนการบุกเข้าสู่ยูเครนของรัสเซียจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตพลังงานและอาหารทั่วโลก ส่งให้ราคาพลังงานโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทบต่อราคาพลังงานไทยเช่นกัน . โดยแม้ว่าเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อคนทุกภาคส่วน แต่กลุ่มคนรายได้น้อยที่สุด 20% ของประเทศไทย ที่จำเป็นต้องใช้รายได้เกินกว่าครึ่งไปกับสินค้าจำเป็นอย่างกลุ่มอาหาร ย่อมได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่นๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้

ที่มา

• http://www.price.moc.go.th/
• http://www.price.moc.go.th/price/cpi/index_new.asp
• https://www.price.moc.go.th/price/fileuploader/file_cpi/Cpi_tg.pdf
• https://www.pier.or.th/abridged/2020/17/