‘กรุงศรี’ ครึ่งแรกปี 65 กำไร 1.5 หมื่นล้าน คงเป้าสินเชื่อปีนี้โต 3-5%

ธนาคารกรุงศรีฯ เปิดเผยงบครึ่งแรกปี 65 กำไร 1.5 หมื่นล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อน 18% หากไม่รวมกำไรพิเศษจากเงินติดล้อ ยังคงเป้าสินเชื่อปีนี้เติบโตในกรอบ 3-5%

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2565 มีกำไรสุทธิจำนวน 1.52 หมื่นล้านบาท เติบโต 18.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ปัจจัยหลักที่หนุนให้กำไรเติบโต มาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (เงินตั้งสำรองหนี้) เพราะคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมดีขึ้น รวมถึงรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

สภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ทำให้สินเชื่อของกรุงศรีเติบโต 3.1% ในครึ่งแรกของปี 2565 นำโดยสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่เติบโต 5% และสินเชื่อ SMEs 5.2%

นอกจากนี้ การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเชิงรุกของธนาคารทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.36% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565

สรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับครึ่งปีแรก

• กำไรสุทธิ จากการดำเนินงานตามปกติในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 อยู่ที่ 15,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% หรือ 2,390 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 จากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ

• หากรวมรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นของ บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิจะลดลง 27.5% หรือ 5,796 ล้านบาท

• เงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 3.1% หรือ 58,344 ล้านบาท จากสิ้นปี 2564 จากการเติบโตของสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อ SMEs ที่ 5% และ 5.2% ตามลำดับ จากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ในประเทศ

• เงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 2.2% หรือ 39,873 ล้านบาท จากสิ้นปี 2564 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์

• ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 3.36% จาก 3.08% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อและการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเชิงรุก โดยเฉพาะกลยุทธ์การระดมเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม (CASA)

• รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จากการดำเนินงานตามปกติ ลดลง 616 ล้านบาท หรือ 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2564 หากรวมรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นของเงินติดล้อในปีก่อนหน้า รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 11,343 ล้านบาท หรือ 40.8%

• อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ จากการดำเนินงานตามปกติปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 42.9% จาก 43.4% ในครึ่งแรกของปี 2564 หากไม่รวมรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นของเงินติดล้อ

• อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 2.11% เมื่อเทียบกับ 2.20% ณ สิ้นปี 2564

• อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ปรับตัวดีขึ้นอยู่ในระดับสูงที่ 189.2% จาก 184.2% ณ สิ้นปี 2564 จากนโยบายการตั้งสำรองด้วยความรอบคอบระมัดระวังของกรุงศรีที่ยึดถือแนวปฏิบัติการตั้งเงินสำรองรวมในระดับสูง

• อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.59% เทียบกับ 18.53% ณ สิ้นปี 2564

‘เซอิจิโระ อาคิตะ’ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคาร บอกว่า การเติบโตของเงินให้สินเชื่อรวมในครึ่งปีแรกเป็นไปอย่างทั่วถึงในลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจ โดยได้รับปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่แข็งแกร่งขึ้น

แม้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มผลิตภาพในการดำเนินงานมากขึ้น

ท่ามกลางทิศทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังมีความผันผวนและไม่แน่นอน เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ยังมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยง

แม้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและภาคท่องเที่ยวจะได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการยกเลิกข้อจำกัดเพื่อควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ

แต่แนวโน้มการปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ (Monetary Normalization) เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ไตรมาสสามของปีนี้

ถึงอย่างนั้น กรุงศรีคาดว่าเงินให้สินเชื่อรวมของธนาคารจะยังเติบโตได้ตามขอบบนของกรอบเป้าหมายที่ 3-5% ภายใต้สมมติฐานการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ 3.1% ในปีนี้

ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทย จากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.95 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.82 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.6 ล้านล้านบาท

ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ที่ 2.9 ล้านล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.59% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 12.82%