SHARE

คัดลอกแล้ว

อภิปรายวันที่ 3 ‘มงคลกิตติ์’ อุ้มพระพุทธรูปขอบิณฑบาต นายกฯ ลาออกปลดปล่อยประเทศไทย กล่าวหาเป็นอาชญากรทางสงคราม ซัดอยู่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์

เวลา 08.30 น. วันที่ 21 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คนต่อเป็นวันที่สาม ภายใต้ยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พร้อมแจ้งที่ประชุมว่า วันนี้ฝ่ายค้านจะอภิปรายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สำหรับการอภิปรายฯใช้เวลาไปแล้ว 30 ชั่วโมง 9 นาที 52 วินาที แบ่งเป็น คณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช้เวลาไปแล้ว 6 ชั่วโมง 20 นาที พรรคร่วมรัฐบาล ใช้เวลาไป 49 นาที พรรคร่วมฝ่ายค้านใช้เวลา 21 ชั่วโมง 26 นาที คงเหลือเวลา 23 ชั่วโมง 33 นาที ขณะที่ประธานที่ประชุมใช้เวลาไป 1 ชั่วโมง 33 นาที

นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นคนแรกที่จะอภิปรายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในข้อกล่าวหา “ทุจริตการได้มาซึ่งอำนาจ บริหารทรัพยากรธรรมชาติแบบแบ่งเค้กเพื่อพยุงอำนาจตัวเอง ด้อยปัญหาบริหารเศรษฐกิจ ไร้วิธีหาเงิน เก่งแต่สร้างหนี้ให้ประเทศ ทำประชาชนสิ้นหวัง” ก่อนจะอภิปรายเบื้องต้นเพื่อเป็นการให้เกียรติสมาชิกผู้อภิปราย ตนอยากให้นายกรัฐมนตรีรีบเดินทางมาที่สภาฯ เพื่อจะได้มาจดประเด็นต่างๆ ท่านจะได้ตอบได้ทันท่วงที สำหรับข้อกล่าวหาที่ตนกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์คือการทุจริตได้มาซึ่งอำนาจ บริหารทรัพยากรธรรมชาติแบบแบ่งเค้กกันไปทุจริตเพื่อพยุงอำนาจตนเอง ด้อยปัญญาในการบริหารเศรษฐกิจ ไร้วิธีหาเงินเก่งแต่สร้างหนี้ให้ประเทศ ทำประชาชนสิ้นหวัง ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2565 เรามีทุนสำรองระหว่างประเทศ 8.855 ล้านล้านบาท มีหนี้สาธารณะ 10.11 ล้านล้านบาท คิดเป็น 60.87% ต่อจีดีพี หากรวมวันนี้ก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 แสนล้านบาท ในระยะเวลาช่วง 2 ปี 10 เดือน 27 วัน นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านล้านบาท มีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเมื่อนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาลบกับหนี้ตราสารหนี้ที่ขายออกมา เราติดลบ 1.638 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีค่าการกลั่นที่ราคาสูงถึง 5.20 บาทต่อลิตร ทำให้ค่าราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 22.54 บาทต่อลิตร ซึ่งรัฐบาลควรควบคุมราคาค่ากลั่นน้ำมันให้ต่ำลง ให้เกิน 1 บาทต่อลิตร รวมถึงควบคุมราคาค่าการตลาดไม่ให้เกิน 1.5 บาทต่อลิตร รัฐบาลสามารถทำได้แต่ยังไม่ได้ทำ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ประชาชนเดือดร้อนจากค่าไฟแพง ซึ่งในเดือนก.ย.จนถึงเดือนธ.ค.จะมีการขึ้นค่าไฟฟ้าเป็น 5 บาทต่อยูนิต โดยอ้างว่ามาจากต้นทุน LNG เพิ่มขึ้น แบบนี้ประชาชนจะตายกันหมดเพราะค่าแรงก็ไม่เพิ่ม แต่ค่าครองชีพสูง ซึ่งจากค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นนั้นกระทบต่อประชาชนทุกคนในหลายๆ ด้าน ฉะนั้นต้นทุนของประชาชนที่หาเช้ากินค่ำเดือดร้อนกันหมด มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่เดือดร้อนคือนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมถึงนายพลบก เรือ อากาศ ข้าราชการระดับ 9,10,11 เพราะสามารถเบิกค่าน้ำมันได้ ที่นายกรัฐมนตรีไม่เดือดร้อน เพราะมีสวัสดิการมากกว่าประชาชน น้ำมันฟรี รถฟรี คนขับรถฟรี ค่าบ้านหลวง ค่าน้ำ ค่าไฟฟรี ค่าโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ค่าข้าวฟรี ทั้งนี้ปัญหารายได้ของประเทศไทยเกิดมาจากโควิดก็ส่วนหนึ่ง เพราะช่วงก่อนเกิดโควิด ในช่วงยึดอำนาจ รัฐบาลก็จัดงบประมาณขาดดุลประมาณ 2.5-4.5 แสนล้านบาท

ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ก็ลุยเรื่องสารพัดค่าปรับจราจรกัน หากปรับเรื่องช่วงเศรษฐกิจกำลังดีไม่มีใครว่า แต่นี่มีการปรับเรื่องค่าคาร์ซิท และยังมีการออกแถลงการณ์ว่าเตรียมออกหมายจับประชาชนที่ค้างค่าปรับเยอะ ซึ่งเป็นการบีบประชาชน รวมทั้งมีการตั้งด่านลอยและด่านกวดขันวินัยจราจร ทั้งนี้ ตนมีข้อเสนอแนะควรยกเลิกค่าส่วนแบ่งค่าปรับจราจร ใช้วิธีการตัดแต้มแทนและไปสอบใบขับขี่ใหม่ ไม่ควรออกหมายจับประชาชน นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเครื่องบินรบเมียนมารุกล้ำอธิปไตยไทยที่จ.ตาก เรดาร์ภาคพื้นดินในส่วนของกองทัพภาคที่ 3 เป็นอะไรถึงใช้ไม่ได้ และตนก็มาทราบทีหลังว่าเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน แม่ทัพภาคที่ 3 ไปเข้าพบพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ตนจึงเรียกกองทัพบกและกองทัพอากาศมาสอบถามว่าตกลงแล้วใครผิดมากกว่ากัน ซึ่งคนที่ผิดมากจริงๆ คือกองทัพบก เพราะมีเรดาร์ในการตรวจจับวัตถุในอากาศ สามารถเตือนก่อนได้แต่บังเอิญว่าวันนั้นผบ.ทบ.ติดโควิด สุดท้ายทัวร์ก็มาลงที่กองทัพอากาศ และสุดท้ายจากการตรวจสอบเรื่องการขึ้นบินของเครื่องบิน F-16 ของประเทศไทย พบว่าขึ้นบินตอน 14.00 น. จำนวน 2 ลำ ใช้น้ำมันไป 5 แสนบาท และบินอีกครั้งตอน 16.00 น. จำนวน 2 ลำ ใช้น้ำมันอีก 5 แสนบาท บินบ่อยไม่ได้เพราะค่าน้ำมันไม่ค่อยมี

“พล.อ.ประยุทธ์ค่อนข้างเกรงใจเมียนมา เปิดให้เครื่องบินรุกล้ำอธิปไตยไทยได้ถึง 5 กิโลเมตร ใช้ปืนกลประหัดประหารชาวกระเหรี่ยงที่เป็นมิตรที่ดีกดับประเทศเรามาโดยตลอด และยังทำให้ทรัพย์สินของไทยได้รับความเสียหาย พล.อ.ประยุทธ์ได้ชื่อว่าเป็นคนเลือดเย็น หรือเรียกว่าอาชญากรทางสงคราม เพราะมีคนตายเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 ที่บัญญัติว่าผู้ใดกระทำการใดให้ราชอาณาจักรไทยหรือส่วนหนึ่งส่วนใดให้ราชอาณาจักรตกไปยู่อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐไทยเสื่อมลง ต้องระวังโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต

พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งมา 7 ปี 10 เดือน 27 วัน พิสูจน์แล้วว่าอยู่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์กับบ้านเมือง อยู่ไปก็เปลืองภาษี ลงพื้นที่ทีก็กลัวตาย ขนตำรวจทหารกว่า 5 พันนาย ตัดสัญญาณมือถือเพราะกลัวถูกลอบสังหาร ถ้ากลัวมากก็ลาออกไปอยู่บ้านร.1 ผมอยากพาท่านไปดูหนังกลางแปลงด้วยกันที่กรุงเทพมหานครด้วยกัน 2 คน แต่เชื่อว่าน้ำหน้าอย่างท่านไม่กล้าไป เพราะขี้ขาดมีตาขาวมากกว่าตาดำ พล.อ.ประยุทธ์ต้องยอมรับเถอะว่าท่านอยู่ไปก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ อยู่ไปก็เป็นตัวถ่วงของประเทศ

“ผมอยากให้ท่านปล่อยคนไทยและประเทศเสียที เพราะอยู่ไปก็หาวิธีฉลาดในการหาเงินกำไรมาดูแลประชาชนและประเทศไม่ได้ แต่ถ้าวิธีการขายชาติเพื่อมาพยุงอำนาจของตนเอง ผมเชื่อว่าท่านถนัด ดังนั้นวันนี้ตนไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับพระพุทธรูปปางบิณฑบาต ในฐานะที่ผมเป็นผู้แทนราษฎรที่ประชาชนเลือกมาและไม่ได้ซื้อเสียงแต่บาทเดียว ขอพูดแทนคนไทยกว่า 66 ล้านคน ว่าขอบิณฑบาตพล.อ.ประยุทธ์ให้ปลดปล่อยประเทศไทยและประชาชนด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสียทีเถิด เพราะว่า 8 ปี 2 เดือนอยู่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์” นายมงคลกิตติ์ กล่าวพร้อมอุ้มพระพุทธรูป

จากนั้นเวลา 09.00 น. นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นหารือว่า วันนี้เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี แต่รู้สึกแปลก เพราะบนบัลลังก์ไม่มีรัฐมนตรีมาเลยสักคน จึงขอให้ฝ่ายรัฐบาลเร่งรัดเข้ามาสภาฯและให้เกียรติสภาด้วย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า