‘พล.อ.วิชญ์’ นั่งหัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน จำลอง ครุฑขุนทด เป็นเลขาฯ ย้ำทำงานการเมือง เพราะทิ้งคนที่พามาไม่ได้ ปัดไม่ใช่พรรคอะไหล่ใคร ไม่หวั่นแม้เป็นพรรคการเมืองใหม่ ยังไม่ชัดหนุนใครเป็นนายกฯ หวังได้ 25 เก้าอี้ เน้นปักธงพื้นที่ภาคกลาง
ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต พรรคพลังชาติไทย จัดประชุมใหญ่วิสามัญพรรคพลังชาติไทย ครั้งที่1/2565 โดยมีการลงมติเปลี่ยนชื่อพรรคมาเป็น “พรรครวมแผ่นดิน” และมีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.)ชุดใหม่ทั้งหมด 14 คน ประกอบด้วย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค นางบุญญาพร นาตะธนภัทร พล.อ.สุรวัช บุตรวงษ์ อดีตผอ.ช่อง 5 และผบ.หน่วยข่าวกรองทางทหาร (ขกท.) และพล.ต.พิชิต บุตรวงศ์ เป็นรองหัวหน้าพรรค
นายจำลอง ครุฑขุนทด เป็นเลขาธิการพรรค นายณัฐพล ทองคำ เหรัญญิกพรรค นายมนตรี พรมวัน นายทะเบียนสมาชิกพรรค นายคมสันต์ พันธุ์วิชาติกุล โฆษกพรรค นายชิงชัย ก่อประภากิจ นายมาโนช อุณหกาญจน์กิจ นายเฉลิมพล ระดาพัฒน์ นายสุริยา ยีลูมา น.ส.กานดา ถาวรประพาฬ และพ.อ.ธีรเดช เบญจาธิกุล เป็นกรรมการบริหารพรรค
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีบุคคลในแวดวงทหารที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย อาทิ พล.อ.ชัชชัย ภัทรนาวิก อดีตผู้บัญชาการศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายสากล (ศตก.) กองทัพไทย ขณะที่ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ นำแจกันดอกไม้มาร่วมแสดงความยินดี ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยนพ.ระวี กล่าวยืนยันว่าไม่ได้ยุบพรรคไปอยู่ร่วมกัน เพราะเป็นคนละน้ำกัน
พล.อ.วิชญ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมพรรครวมแผ่นดิน ว่า เหตุผลจริงๆ แล้ว หลังทำการเมืองมาระยะหนึ่ง ไปเจอกับสิ่งที่เราได้เห็น และยังมีสิ่งที่เราไม่ได้ทำ จึงคิดว่า หากปล่อยทิ้งไปจะไม่ดี อีกทั้งยังมีคนที่เราพาเข้ามาในการเมือง และตอนนี้เขาไม่มีที่พึ่ง จึงต้องกลับมา หาบ้านให้เขาอยู่ให้เรียบร้อย นี่คือเหตุผล ส่วนคนที่จะมาร่วมงานด้วย ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคเดิม ที่ตามมาด้วย ซึ่งก็มีหลายคนที่เขาอยากเล่นการเมือง จึงมาอยู่ร่วมกันในพรรคนี้ และต้องการหาพรรคการเมืองใหม่ที่ให้ตนเป็นผู้นำ จึงขอกลับมาอีกครั้ง เพราะเราไม่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ส่วนจะมีกลุ่ม ส.ส.จากพรรคเศรษฐกิจไทย และกลุ่มพรรคเล็ก โดยเฉพาะกลุ่ม 16 เข้ามาร่วมงานด้วยหรือไม่ พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า ไม่เคยคุยกับใครทั้งสิ้น แต่ในส่วนของพรรคพลังชาติไทย มี ส.ส.คนเดียว คือ นางบุญญาพร นาตะธนภัทร ก็ได้คุยกันอยู่แค่นั้น ยังไม่เคยคุยกับคนอื่น พร้อมยืนยันว่า ไม่มีการดีล กับพรรคเล็กตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ส่วนที่สื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปลง ก็ไม่ทราบว่ามาจากใคร แต่ยืนยันว่า ไม่เคยคุยกับใครแน่นอน
เมื่อถามว่า พรรครวมแผ่นดิน จะเป็นพรรคอะไหล่ พรรคแตกแบงก์พัน หรือไม่ พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า ไม่จริง เพราะตนมาทำทุกอย่างก็เพื่อสมาชิกพรรคเดิม ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน และสุดท้ายเขาไม่มีที่ไป และเมื่อไม่มีที่ไปก็ต้องหาบ้านให้เขาอยู่ และไหนๆ มาแล้ว จะต้องทำเพื่อบ้านเมืองและประชาชนต่อ
เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก่อนมาตั้งพรรคหรือไม่ พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ไม่เกี่ยว ที่ตนทำตรงนี้ ทำเพื่อสมาชิกพรรคเก่า ที่เขาเดินตามตนมา เมื่อถึงเวลาจะทิ้งเขาไม่ได้ มันดูไม่ดีจึงต้องกลับมาดูแลเขาต่อ
เมื่อถามว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นโจทย์ยาก เพราะพรรคยังไม่มีบิ๊กเนม พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่องยากมาก สำหรับคนใหม่อย่างเรา แต่ตอนนี้ก็เริ่มชินแล้ว สิ่งสำคัญที่สุด คือ การทำงานให้ประชาชน เราควรต้องทำให้มากที่สุด และช่วงเวลานี้ประชาชนกำลังเดือดร้อนหลายเรื่อง ดังนั้น หากเราไม่ช่วยกัน ก็อยู่ที่ประชาชนว่าจะเห็นชอบกับเราหรือไม่
เมื่อถามว่า ครั้งนี้จะซ้ำรอยเหมือนตอนที่อยู่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือไม่ พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า ไม่มีและจริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไร การที่เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะมันไปคนละทางเท่านั้นเอง แต่ส่วนที่มาใหม่วันนี้ ทุกคนเข้าใจกันหมด และยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในลักษณะนั้นอีกแล้ว
เมื่อถามว่า พรรครวมแผ่นดิน จะชูใครเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มี ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า พร้อมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ หรือไม่ พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า หากคิดว่าใครเหมาะสมมากที่สุดในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อถึงเวลาอาจมีคนที่ดีหรือใครก็แล้วแต่ที่เข้ามาช่วยบ้านเมืองแบบจริงจัง เราสนับสนุน ขณะที่จุดยืนของพรรค ก็ทำพรรคการเมืองนี้ให้เป็นของประชาชนจริงๆ และทำงานให้กับประชาชน ไม่มีอย่างอื่นแน่นอน
ภายหลังการประชุม พล.อ.วิชญ์ แถลงว่า เป้าหมายของพรรคมีอย่างเดียว คือ เป็นขนาดกลาง เป็นพรรคที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาล หวังได้ ส.ส. 25 ที่นั่ง โดยเน้นพื้นที่ภาคกลาง ส่วนภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคเหนือ ก็พอมีบ้าง เพื่อจะได้ร่วมรัฐบาล ดังนั้น จะส่งเพียงบางเขตที่คิดว่ามีสิทธิ์
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ ใช่หรือไม่นั้น ในฐานะตนเป็นรุ่นพี่ พล.อ. ประยุทธ์ เคยทำงานร่วมกันมาโดยตลอด ส่วนเรื่องการเมืองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต่อไปในอนาคตอาจจะต้องมีคนที่ดีกว่า ก็สนับสนุนคนที่ดี เพื่อให้ประเทศอยู่รอดและไปได้ โดยยังไม่ได้มีการทาบทามใครทั้งสิ้น เป็นเพียงการเริ่มต้นพรรค และจะทำให้ประชาชนมีความศรัทธาให้มากที่สุด
ทั้งนี้ ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทุกวัน พอบอกเรื่องทำพรรค พล.อ.ประวิตร บอกว่า “ก็เอาดิ ลองไปทำ” ซึ่งส่วนตัวถ้ามีอะไรจะไปปรึกษา พล.อ.ประวิตร เพราะเคารพเหมือนพ่อ ดูแลกันมาตั้งแต่เป็นทหารอยู่ที่ จ.สระแก้ว ยืนยันว่าพรรครวมแผ่นดินเป็นพรรคของประชาชน เอาประชาชนเป็นหลัก อีกทั้งไม่คิดที่จะดึง ส.ส.จากพรรคเศรษฐกิจไทย หรือกลุ่มใดมาร่วมด้วย และไม่เคยทำ ถ้าคนจะมาอยู่ร่วมกันไม่จำเป็นต้องไปดึง ให้สมัครใจมาเอง เพื่อทำงานให้กับบ้านเมือง
“ผมไม่เคยเป็นนั่งร้านให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร รวมถึงไม่เคยสร้างนั่งร้านที่บ้านด้วย ไม่เคยมี และยังไม่คิดว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ เอง ต้องให้คณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคพิจารณา ส่วนการลงสมัคร ส.ส.นั้น ยืนยันว่า จะไม่ลง เพราะไม่ถนัดงานสภา ปล่อยให้คนอื่นทำดีกว่า อย่าไปรวบรวมเองทุกอย่าง” หัวหน้าพรรค กล่าว