GDP อาเซียนอาจหายไปถึง 35% ภายใน 2050 ถ้าไม่เร่งแก้ไข ‘Climate Change’
โลกร้อนอาจทำให้เศรษฐกิจพัง อาเซียนอาจสูญเสีย GDP ไปถึง 35% ภายในปี 2050 จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) หรือที่่คนไทยเรียกกันอย่างติดปากว่า ‘โลกร้อน’ ทำให้องค์กรต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจที่เน้นคาร์บอนน้อยลง
ปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้จัดสัมมนา ‘Sustainable Business Summit’ ที่สิงคโปร์ ผ่านช่องทางไลฟ์สดบนทวิตเตอร์ ‘Bloomberg Live’ โดยมีการหารือถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้น (GDP) ของอาเซียน
หลายสิบปีที่ผ่านมา การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงขึ้น เกิดภาวะโลกร้อนที่สูงขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ส่งผลกระทบให้ GDP ของแต่ละประเทศลดลง
‘Edris Boey’ หัวหน้าฝ่ายวิจัย ESG ที่ Maitri Asset Management Edris Boey กล่าวว่า หากไม่มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ อาเซียนอาจเป็นภูมิภาคที่สูญเสีย GDP ไป 35% ภายในปี 2050 และจีนอาจสูญเสีย GDP ถึง 45% ภายในปี 2100
ด้วยเหตุนี้ หลายๆ ธุรกิจเลยจำเป็นต้องมีการปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไปสู่รูปแบบธุรกิจที่เน้นคาร์บอนน้อยลง (Decarbonization) เพื่อบรรเทาความรุนแรงด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
‘มูฮัมหมัด อูมาร์ สวิฟต์’ CEO ของตลาดหลักทรัพย์บูร์ซ่ามาเลเซีย เผยว่า อาเซียนล้วนเป็นประเทศที่ทำการค้า แม้การบริโภคภายในประเทศจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การค้าขายของอาเซียนจะได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน
สรุปได้ว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลก การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยความร่วมมือกันระดับองค์กรจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้เป้าหมายกลายเป็นจริงขึ้นมา
ที่มา https://twitter.com/BloombergLive/status/1552096831949393920?s=20&t=4D8Ok96ZIrFXV8_myxLQUQ