ผลประกอบการเอไอเอส ไตรมาส 2/65 ลูกค้าเพิ่มกว่า 8 แสนหมายเลข รวมทั้งหมดมี 45.5 ล้านเลขหมายแล้ว

ผลประกอบการเอไอเอส ประจำไตรมาส 2 ปี 2565 ยังคงเติบโตในทุก segment แต่มีกำไรลดลง โดยทำรายได้รวมอยู่ที่ 45,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% เทียบกับปีก่อน กำไรสุทธิอยู่ที่ 6,305 ล้านบาท ลดลง 10% เทียบกับปีก่อน ซึ่งทางเอไอเอสระบุว่า เป็นผลจากการขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และรายได้พิเศษครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา

สำหรับจำนวนลูกค้าที่ใช้หมายเลขของเอไอเอสรวม 45.5 ล้านเลขหมาย โดยในไตรมาสนี้มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 881,200 เลขหมาย แบ่งเป็นลูกค้าระบบเติมเงิน 33.4 ล้านเลขหมาย และระบบรายเดือน 12.1 ล้านเลขหมาย

ส่วนเครือข่าย 5G นั้น เอไอเอส มีผู้ใช้บริการ 5G รวมทั้งสิ้นมากกว่า 3.9 ล้านราย เพิ่มขึ้นกว่า 39%

ส่วนธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงหรือ AIS Fibre นั้น มีจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นกว่า 106,300 ราย โดยมีลูกค้ารวม 1,971,400 ราย ตั้งเป้าขยายลูกค้า 2.2 ล้านรายภายในสิ้นปี

ฝั่งรายได้ของ ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโต 22% เทียบกับปีก่อน และ 2.0% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการเพิ่มพื้นที่การให้บริการไปยังพื้นที่ใหม่ๆ 

ฝั่งธุรกิจลูกค้าองค์กร รายได้โต 38% เทียบกับปีก่อน และ 5.5% จากไตรมาสก่อน โดยที่ผ่านมาเอไอเอสได้เข้าไปร่วมทำงานกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนด้านเทคโนโลยีทรานสฟอร์มองค์กร เช่น ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า สร้างศูนย์กลางนวัตกรรมและการทดสอบเทคโนโลยี 5G แห่งแรกในประเทศไทย AIS 5G NEXTGen Center เป็นต้น 

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกแม้เราจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ แต่ในภาพใหญ่สถานการณ์ทั่วโลกยังมีความน่าเป็นห่วง และต้องจับตามองใกล้ชิด โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ และความขัดแย้งของประเทศต่างๆ ส่งผลทำให้ต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้น แน่นอนว่าส่งกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในวงกว้าง ทำให้เราต้องปรับแผนการทำงานให้สอดรับกับสถานการณ์ที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในครึ่งปีแรกนี้ AIS สามารถทำผลงานออกมาได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ จากตัวเลขรายได้ที่มีการเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าเรายังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีให้มีความแข็งแกร่งรองรับความต้องการประยุกต์ใช้ดิจิทัลในองค์กร และสร้างประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้าที่กำลังเพิ่มขึ้น”

“ความท้าทายในช่วงครึ่งปีหลังยังมีหลายปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ ทั้งความเคลื่อนไหวของการเมืองระดับประเทศที่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่ความรุนแรงของการแข่งขันที่จะมีเพิ่มสูงขึ้น แต่แน่นอนว่าเรายังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วยงบกว่า 30,000 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีมีความแข็งแรงพร้อมต่อการเติบโตในอนาคตที่จะเป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อน Digital Economy รองรับบริการครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กรในภาคธุรกิจ ที่สอดรับกับเป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมอัจฉริยะหรือ Cognitive Tech-Co ที่มุ่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับลูกค้า สามารถสร้างบริการแบบ Personalization ได้อย่างสอดคล้องกับทุกความต้องการ อีกทั้งยังต้องรวดเร็วและตอบสนองในระดับ Real Time ได้อย่างดีที่สุด”