ประกาศออกมาแล้วสำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. (PTT) ที่ช่วงครึ่งแรกของปี 2565 (1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 2565) มีกำไรสุทธิรวมกันกว่า 1.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 1.3 แสนล้านบาท
แน่นอนว่าบริษัทแม่ บมจ.ปตท. (PTT) เป็นตัวที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 64,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 57,166 ล้านบาท
แต่ตัวที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ที่มีกำไรสุทธิ 32,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 493% หรือเกือบ 500% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรเพียง 5,482 ล้านบาท
ส่วนสาเหตุ ถ้าดูจากงบการเงินที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า เป็นเพราะราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ
ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเศล ปรับตัวดีขึ้นมาก หลังจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองและการเดินทางระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) 22,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,590 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อีกหนึ่งก้อนใหญ่ที่หนุนกำไรสุทธิของไทยออยล์ คือ เงินจากการขาย บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) จำนวน 12,880 ล้านบาท (หลังหักภาษี)
อย่างไรก็ตาม มีบางตัวที่กำไรสุทธิอ่อนตัวลงเทียบกับครึ่งแรกของปีก่อน คือ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และ GPSC
โดยตัวที่กำไรอ่อนตัวลงมากที่สุด คือ PTTGC ที่มีกำไรสุทธิ 5,599 ล้านบาท ลดลง 84% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 34,729 ล้านบาท
สาเหตุก็เพราะว่า บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายพิเศษสูงถึง 12,734 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง (Hedging Loss)
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิ 1.5 แสนล้านบาทของกลุ่ม ปตท. เป็นเพียงตัวเลขเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากกำไรของ PTT ที่เห็น ส่วนหนึ่งเป็นกำไรที่ได้จากบริษัทย่อยตามสัดส่วนการถือหุ้น