พล.อ.ประยุทธ์ สะอื้นตื้นตันเห็นหนุ่มสาวแสดงออกรักชาติรักราชบัลลังก์ผ่านเสียงดนตรี

พล.อ.ประยุทธ์ สะอื้นตื้นตันเห็นหนุ่มสาวแสดงออกรักชาติรักราชบัลลังก์ผ่านเสียงดนตรี

งานมอบรางวัลการประกวดบทเพลงเพื่อชาติและราชบัลลังก์ ช่วงเย็นวันนี้ (17 ส.ค. 65) ที่ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน หลังจากเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้จัดกิจกรรมประกวดรอบชิงชนะเลิศ ที่สโมสรทหารบก วิภาวดี

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่มาเป็นประธานการมอบรางวัลฯ ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีโดยมีเสียงสะอื้นด้วยความตื้นตันเป็นระยะๆ ตอนหนึ่งกล่าวว่า ว่า ตนคิดว่าทุกคนที่รวมอยู่ในห้องนี้ มีหัวใจดวงเดียวกัน ที่เรามาร่วมมือกันในวันนี้ แสดงความรักความผูกพันผ่านเสียงเพลงอันไพเราะมีความหมาย คงไม่ต้องกล่าวว่า ตนยินดีมากน้อยแค่ไหน เห็นใบหน้าของตนก็คงรู้ว่าตนมีความสุขในวันนี้ รู้สึกยินดีเป็นเกียรติ ที่ได้มามอบรางวัลบทเพลงเพื่อชาติและราชบัลลังก์ในวันนี้

ดนตรีเป็นสิ่งที่สร้างความบันเทิงรื่นรมณ์สุนทรีย์ผู้รับฟัง จรรโลงจิตใจ สร้างความปรองดอง เป็นปึกแผ่นทำให้เกิดความรักความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ดังมีคำกล่าวไว้แล้วว่า ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบคนนัก จากบทพระราชนิพนธ์แปลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

แสดงให้เห็นว่า ดนตรีนั้นจะเป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจระหว่างกัน ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ และเป็นภาษาเดียวที่คนเข้าใจกันได้ เสียงดนตรีนั้นเป็นเสียงที่ทำให้คนทั้งโลกที่จะสอดประสานกันให้เห็นถึงความผูกพันความรักโดยไม่ต้องพูดใดๆ

เป็นที่น่ายินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นเยาวชน นิสิต นักศึกษา ประชาชนมีความรักในสถาบันชาติ ศาสนา มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันนี้เป็นสถาบันที่ทำให้ชาติบ้านเมืองอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ได้ นี่คือสถาบันหลักของชาติของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยใช้บทเพลงเป็นสื่อกลางในการแสดงออก และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมในการนำความสามารถมาใช้อย่างสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ส่วนรวมและชาติบ้านเมือง

“ผมมาห้องนี้หลายครั้ง แต่วันนี้รู้สึกว่าคนเยอะที่สุด ในห้องนี้จำนวนมาก ก็คงเป็นกองเชียร์ด้วยที่มาในวันนี้ มาได้ฟังเพลงอันไพเราะ การแสดงออกของเยาวชนของเรา ในแต่ละอายุ แต่ละวัย แต่ละชั้นเรียน ก็แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเรายังมีอนาคตอีกไกล อย่างที่ผมว่า เรามีวันนี้ มีลุงแก่ๆ ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วก็มีหนุ่มสาวอยู่ข้างหลัง เด็กๆ อยู่ข้างหลังเรา อยู่ได้ครับ” พล.อ.ประยุทธ์ สะอื้นในอกจนต้องหยุดพูดไปช่วงหนึ่ง

นายกฯ ได้ขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ร่วมจัดงานในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงความรักชาติรักราชบัลลังก์ ด้วยการเรียงร้อยถ้อยคำเป็นบทกวี เครื่องดนตรี ผ่านการขับร้องเป็นเสียงเพลงที่ไพเราะ สะท้อนให้เห็นความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างตั้งมั่น ทุกอย่างอยู่ที่หัวใจ อยู่ที่ปาก อยู่ที่สมอง เราจะรักใครชอบใครอยู่ที่ 3 ส่วนด้วยกัน รักก็คือรัก รักด้วยหัวใจ รักด้วยสมอง รักด้วยปัญญา นั่งคือสิ่งที่ทำให้โลกเราน่าอยู่และสามัคคี วันนี้อันตราย เพราะโลกขัดแย้งเราต้องรักกันให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะประเทศไทย  เรามีคนอยู่ 66 ล้านคนเศษ  ใกล้จะถึง 70 ล้านคนในไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะต้องรักกัน ถ้าตราบใดที่คน 60 กว่าล้านรักกัน ประเทศไทยไปได้แน่ๆ

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขอฟังเสียงปรบมือจากผู้ที่อยู่ในงาน โดยระบุว่า ขอฟังเสียงปรบมือว่า จะร่วมมือกันไหม จากนั้นผู้ที่มาร่วมงานพร้อมใจกันปรบมือ ซึ่งนายกฯ ก็ได้กล่าวขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า คิดว่าคนอีกหลายล้านคนที่อยู่นอกห้องมีความเห็นเช่นเดียวกัน ฝากไว้ด้วย ฝากประเทศไทยไว้ในมือของท่าน ตนพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด วันนี้ได้รับฟังเพลง ได้รับการถ่ายทอดที่ดีจากนักร้องนักแสดง ได้เห็นความสุข ได้ยินเสียงปรบมือ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของตนที่ได้มีโอกาสฟังเพลงเพราะๆ และได้เห็นการแสดงออกของท่านในวันนี้

“การที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผอ.กอ.รมน. ดูแต่ละตำแหน่งโตมากเหลือเกิน ตำแหน่งยิ่งเยอะความรับผิดชอบยิ่งต้องมาก ยิ่งต้องดูแลคนให้ได้ บางอย่างก็มากบ้าง บางอย่างก็น้อยบ้าง เพราะเรามีคนจำนวนมากพอสมควร มีความแตกต่างหลากหลาย ผมพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ว่าเราจะทำอย่างไรให้เราฝ่าฟันอุปสรรคช่วงนี้ให้ได้ โอกาสเรามีอยู่เยอะ เยอะมาก ถ้ามายืนตรงผม ถึงจะรู้ว่า เรามีโอกาสอีกเยอะมาก แต่เราจะต้องไม่ทำลายโอกาสของเรากันเอง เป็นสิ่งที่ผมพูดได้แค่นี้”

ช่วงท้าย นายกฯ กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลอีกครั้ง และยังกล่าวถึงตำแหน่ง ผอ.กอ.รมน. ว่า ตำแหน่งนี้ไม่ว่าใครเป็นนายกฯ ก็ต้องเป็นทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะตนเป็นทหารแล้วมาเป็น ผอ.กอ.รมน. ทุกรัฐบาลอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี และย้ำว่า เราจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ ก้าวไปข้างหน้า ไปด้วยกัน