จีนกำหนดวันประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ 16 ต.ค. จับตาต่ออำนาจ ‘สี จิ้นผิง’ เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3

จีนกำหนดวันจัดประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ในวันที่ 16 ต.ค. คาดอาจมีการเสนอให้ ‘สี จิ้นผิง’ เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ตอกย้ำความเป็นผู้นำทรงอิทธิพลที่สุดนับตั้งแต่ ‘เหมา เจ๋อตง’

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุก 5 ปี ปีนี้มีวาระสำคัญที่จะต้องจับตาคือการเสนอให้ สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปเป็นสมัยที่ 3 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และถือเป็นการท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติเดิมที่บัญญัติไว้ว่าประธานาธิบดีแต่ละคนสามารถดำรงตำแหน่งผู้นำได้เพียง 2 สมัย รวมทั้งสิ้น 10 ปี

คณะกรรมการกรมการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Politburo) ประกาศกำหนดการจัดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เมื่อวานนี้ (30 ส.ค.) โดยการประชุมดังกล่าวซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 20 จะจัดขึ้นที่มหาศาลาประชาชน ทางฝั่งตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมิน ใจกลางกรุงปักกิ่ง

สำหรับการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จะเป็นการรวมตัวกันของสมาชิกพรรคราว 2,300 คนจากทั่วประเทศ มาประชุมกันเพื่อทบทวนผลงานตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงความสำเร็จครั้งสำคัญและประสบการณ์อันมีค่าของคณะกรรมการกลางพรรค ตลอดจนการวิเคราะห์สภาพการณ์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อเดินหน้าผลักดันนโยบายที่เหมาะสม ภายใต้เป้าหมายในการสร้างจีนให้เป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่และส่งเสริมการฟื้นฟูชาติในทุกด้าน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะมีการเลือกคณะกรรมการกลางของพรรคประมาณ 200 คน โดยที่คณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้แทนลงมติเลือกผู้นำสูงสุดของพรรค ซึ่งก็คือ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ หรือผู้ที่จะกลายมาเป็นประธานาธิบดีจีนในอนาคต โดยการประชุมปีนี้ มีการคาดการณ์อย่างสูงว่า สี จิ้นผิง จะได้รับการเสนอชื่อเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกข้อกำหนดจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2561

ทั้งนี้ สี จิ้นผิง วัย 69 ปี สามารถรวมศูนย์อำนาจไว้อย่างมั่นคงมาตลอดนับตั้งแต่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ 10 ปีก่อน ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งและขจัดความแตกแยกภายในพรรค ทำให้จีนมีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลกเทียบเคียงสหรัฐฯ ที่ดำรงบทบาทผู้นำโลกมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงปีที่ผ่านมาโฆษณาชวนเชื่อของจีนส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นไปที่การยกย่องความสำเร็จของสี จิ้นผิง เหนือกว่าผู้นำจีนคนก่อนๆ และที่สำคัญในช่วงนี้สื่อของทางการอย่างหนังสือพิมพ์ People’s Daily ได้เริ่มนำคำว่า ‘ผู้นำประชาชน’ มาใช้เมื่อกล่าวถึงเขา ทำให้มีการคาดการณ์ว่า สี จิ้นผิง อาจได้รับการสรรเสริญว่าเป็น ‘ผู้นำที่ยิ่งใหญ่’ ซึ่งถือเป็นการยกย่องในระดับที่เทียบเท่า เหมา เจ๋อตง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน