แพทย์จุฬาฯ ย้ำผู้สัมผัสเชื้อฝีดาษลิงภายใน 4 วัน การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันได้ ขณะที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุ ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนฝีดาษเมื่อ 40 ปีก่อน แม้จะมีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษลิงได้ แต่ไม่สูงพอจัดการได้
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับฝีดาษลิงว่า การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ ไม่ได้เป็นการใช้เชื้อของไข้ทรพิษโดยตรง แต่ใช้ vaccinia ไวรัส ซึ่งแต่เดิมเข้าใจว่าเป็นฝีดาษของวัวมาใช้ปลูกให้คน แล้วภูมิต้านทานข้ามไปป้องกันเชื้อไข้ทรพิษหรือฝีดาษของคน
เชื้อในกลุ่มฝีดาษเป็น DNA virus มีลักษณะพันธุกรรมและโครงสร้างที่คล้ายกันมาก จึงสามารถป้องกันข้ามสายพันธุ์ได้
ฝีดาษไม่ว่าจะเป็นฝีดาษคนหรือฝีดาษลิง มีระยะฟักตัวยาวนาน 7-14 วัน โดยเฉลี่ย 9 วันนับตั้งแต่เริ่มรับเชื้อจนถึงมีอาการ ซึ่งต่างกับโควิด-19 ระยะฟักตัวที่สั้นมาก ค่าเฉลี่ยขณะนี้อยู่ที่ 3 วัน
ศ.นพ.ยง ระบุว่า โรคอะไรก็ตามแต่ที่มีระยะฟักตัวยาวนาน ถึงแม้ภูมิคุ้มกันจะตกลงไปแล้ว การตรวจวัด ภูมิต้านทาน ระดับภูมิต้านทานอาจจะตรวจวัดไม่ได้หรือได้ต่ำมาก แต่ในทางป้องกันโรคสามารถยังคงมีหน่วยความจำและเมื่อได้รับเชื้อก็จะกระตุ้นขึ้นมาป้องกันการเกิดอาการได้ ยกตัวอย่างเช่น
ไวรัสตับอักเสบบี มีระยะฟักตัวยาวนาน 1 – 6 เดือน ดังนั้น เมื่อฉีดวัคซีนมีภูมิขึ้นแล้วถึงภูมิจะต่ำกว่าระดับความต้านทานในการป้องกันการเกิดโรค เมื่อได้รับเชื้อก็ไม่เกิดการติดเชื้อทั้งนี้เพราะเมื่อรับเชื้อเข้าไปในร่างกายจะกระตุ้นภูมิต้านทานขึ้นมาและสามารถปกป้องการเกิดอาการหรือการติดเชื้อได้ เช่นเดียวกันกับ HPV ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก ในปัจจุบันพบว่าการให้วัคซีนเพียงเข็มเดียว ก็มีประสิทธิภาพที่ดีทีเดียวเพราะเมื่อผมขึ้นแล้ว ถึงแม้ระดับภูมิต้านทานจะน้อยกว่า 2 เข็ม ประสิทธิภาพก็ยังเพียงพอในการที่จะป้องกันการติดเชื้อได้ เพราะ HPV มีระยะฟักตัวยาวนาน
ดังนั้น คนที่เคยปลูกฝีมาแล้ว โดยใช้ vaccinia ไวรัส ตั้งแต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มาตรวจวัดขณะนี้จะตรวจวัดระดับภูมิต้านทานไม่ได้ เพราะนานมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามร่างกายมีหน่วยความจำ และฝีดาษลิงมีระยะฟักตัวยาวนานถึง 7-14 วันหรือถ้าจะเหลืออยู่ที่ 9 วัน ก็ยังมีเวลาเพียงพอที่ให้หน่วยความจำกระตุ้นสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาปกป้องการติดเชื้อไวรัสได้ หรือถึงแม้จะติดเชื้ออาการก็จะไม่รุนแรง ดังนั้นระดับภูมิต้านทานที่ตรวจวัดได้จากคนที่ปลูกฝีมานานแล้ว จึงไม่สามารถบอกได้ทางคลินิก ว่าไม่สามารถป้องกันโรคได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะฟักตัวของโรค โดยเฉพาะโรคที่มีระยะฟักตัวยาวนาน
ผู้ที่สัมผัสเชื้อฝีดาษลิงภายใน 4 วัน การฉีดวัคซีนก็ยังสามารถป้องกันได้ ผู้ที่เคยปลูกฝีมาแล้ว จึงทำให้เชื่อได้ว่าน่าจะปกป้องการติดเชื้อฝีดาษลิงได้ดีพอสมควร และหรือถ้าจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนในเจเนอเรชั่นใหม่ ก็ใช้วัคซีนเพียงเข็มเดียวก็เพียงพอไม่จำเป็นต้องฉีดถึง 2 เข็ม เป็นเพียงกระตุ้นหน่วยความจำเดิม ตามหลักวิชาของวัคซีน
- การปลูกฝีดาษเมื่อ 40 ปีก่อน มี ภูมิฯ แต่ไม่สูงพอที่จะจัดการ ‘ฝีดาษลิง’
ขณะที่วานนี้ (5 ก.ย. 2565) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงเรื่องภูมิคุ้มกันต่อเชื้อฝีดาษลิง ว่า การปลูกฝีดาษในอดีต จะแตกต่างจากฝีดาษวานร ส่วนคำถามที่ต้องตอบว่า คนไทยที่ได้รับวัคซีนฝีดาษ หรือได้รับการปลูกฝีดาษในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน แต่หลังจากปี 2523 จะไม่ได้มีการปลูกฝีดาษอีก
หลังจากมีเคสฝีดาษลิงในไทย กรมได้นำเชื้อมาเพาะสองสายพันธุ์ และทำการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันในคนที่ได้รับวัคซีนฝีดาษ ที่ผ่านมาเราได้หาอาสาสมัครมาดำเนินการแบ่งตามกลุ่มอายุ แต่ละกลุ่มมี 10 คนในการศึกษา ตรวจทั้งสองสายพันธุ์ คือ B.1 และ A.2 โดยแบ่งเป็นอายุ 45-54 ปี อายุ 55-64 ปี อายุ 65-74 ปี อย่างไรก็ตาม ข้อมูล คือ ต้องมีระดับไตเตอร์ (titer) มากกว่า 32 จึงถือว่ามีภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสฝีดาษวานรได้ ดังนั้น หากต่ำกว่า 32 แม้มีภูมิฯ แต่ไม่สูงพอจัดการได้
https://www.facebook.com/yong.poovorawan/posts/pfbid02kMgNSUp1EzUQQro4c1oK2vaF2vpCSa2zJQa1fQLsqNyvWJTSDf4vgi81ubHQ9ydl