My Country Talks ครั้งที่ 2 อีกครั้งที่คนเห็นต่างพูดคุยกัน เพื่อสร้างสังคมที่ดีกว่า

วันที่ 24 กันยายน 2565 มูลนิธิฟรีดิช เนาวมัน จัดกิจกรรม Thailand Talks รวมรวบผู้เห็นต่างมาคุยกันผ่านการจับคู่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สด ๆ ณ ชั้น 9 อาคารสยามสเคป สยามแสควร์ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

กิจกรรม Thailand Talks ได้รับแรงบันดาลใจจากกิจกรรม My Country Talks ที่เคยจัดเป็นครั้งแรกในภูมิภาคยุโรป ก่อนกระจายตัวไปจัดยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก โดยกิจกรรม Thailand Talks ปี 2564 เป็นการจัดกิจกรรมนี้ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนประสบความสำเร็จและจัดปีนี้เป็นปีที่สองอีกครั้ง

“คือถ้ามองกลับไปเมืองไทยมันมีเรื่องความขัดแย้งมายาวนาน เราก็พยายามจะหาว่า เอ๊ะ จะยังไงมันถึงจะทําให้คนมาคุยกันได้ แล้วก็คิดว่า ความพยายามต่างๆมันมาจากโครงสร้างที่ใหญ่เกินไปก็เลยคิดว่าจริงๆ มันน่าจะมีอะไรที่ง่ายๆก็ไปเห็นโครงการ My Country Talkของเยอรมัน เค้าเอาแค่คนสองคนตอบแบบมีความคิดเห็นที่ต่างกันให้มาได้คุยกันแบบที่ไหนก็ได้ที่เป็นที่สาธารณะเราก็เลยคิดว่าอันนี้น่าจะดีกับเมืองไทย” ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย กล่าวถึงแรงบันดาลใจการจัดงาน

ก่อนงานวันนี้ มูลนิธิฟรีดิช เนาวมันประเทศไทย ร่วมกับภาคีสื่อ กระจายแบบลงทะเบียนแนบแบบสอบถามประเมินความคิดเห็นทางการเมือง ให้ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมได้ลงทะเบียน ระบบโปรแกรมจับคู่ผู้มีความคิดเห็นต่างกันประมวลผลจากข้อมูลที่ได้รับและจับคู่ผู้มีความคิดเห็นต่างกันให้ได้ลองพูดคุย โดยจัดสถานที่การพูดคุยในร้านกาแฟ ร้านหนังสือ พื้นที่สาธารณะตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย รวมถึงกิจกรรมใหญ่ที่สยามสเคป

“มันจะมีงานวิจัยที่ทําจริงจังเพิ่มขึ้นนอกจาก 10 องค์ประกอบของการพูดคุยกับคนเห็นต่างที่เราเอามาจากนักวิจัยเยอรมันแล้ว เราก็จะมีปัจจัยแทรกแซง (intervention) กับบางคนบางผู้ว่าถ้าเราใส่ปัจจัยแทรกแซงเข้าไปให้เขาคุยง่ายขึ้นมันจะได้ผลยังไง แล้วส่วนกลุ่มที่ไม่มีปัจจัยแทรกแซงจะเป็นยังไง” ดร.พิมพ์รภัชกล่าวถึงไฮไลท์กิจกรรมปีนี้ที่เพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้ว

ภายในงานยังจัดกิจกรรมพูดคุยระหว่างนักการเมืองทั้งหมด 2 คู่ คู่แรกคือพริษฐ์ วัชรสินธุ และ ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง อดีตโฆษกผู้ว่ากทม. ส่วนคู่ที่สอง ได้แก่ พรรณิการ์ วาณิช คณะก้าวหน้า และสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พรรคพลังประชารัฐ

“คือผมอยากจะพูดเรื่องของประชาธิปไตย หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย ไม่ใช่การทําให้คนเห็นเหมือนกัน

บางครั้งเราต้องยอมรับว่า ความคิดของเขาที่ไม่เหมือนเรา ถึงแม้ว่าเขาจะเหตุผลที่ เราดูไม่มีเหตุผลเลย หลักการของใช้คือไม่ใช่ทําให้คนเหมือนกันแต่เป็นการที่เรามีความเห็นที่ต่างกันแต่เราอยู่ด้วยกันได้และเราสามารถพูดคุยได้ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่านี่คือมายด์เซ็ตที่สําคัญที่สุดในการที่จะทําทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทํากิจกรรมทางการเมืองหรือแม้กระทั่งการพูดคุยกันในบ้าน นั้นก็คือไม่ใช่ทําให้คนเหมือนกัน แต่ว่าทําให้เรามีสิ่งจุดร่วม ไม่ต้องร่วมก็ได้  มีจุดต่างแต่สามารถพูดคุยกันได้ และอยู่ร่วมกันได้นั่นคือหลักพื้นฐานที่จะทําให้การทุกอย่างมันดีขึ้น” พงศกรกล่าวถึงจบการพูดคุย

“ความจริงผมพูดด้วยซ้าว่าคนเราเนี่ย เรียนรู้จากคนที่เห็นต่างจากเรา เผลอๆ มากกว่าคนที่เห็นตรงกับเราด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นในฐานะคนที่เข้ามาทํางานการเมือง เราพยายามจะพูดคุยกับคนที่มีความเห็นที่แตกต่างอยู่ตลอด เพื่อจะได้ทําความเข้าใจว่าอะไรเป็นจุดที่เรามองต่างกัน พอเราคุยกับคนที่เห็นต่างมันก็ได้ประโยชน์หลายอย่าง  อย่างแรกคุยไปคุยมาบางครั้งเราอาจจะเห็นว่า การที่เราคิดว่าเราเห็นต่างกันมันเป็นความเข้าใจผิด ก็เป็นไปได้นะครับ  บางครั้งอาจจะเข้าใจผิดกันและกันว่าแต่ละฝ่ายคิดเห็นอย่างไรนะครับ หรือว่า แม้กระทั่งเราคุยกันแล้ว แล้วก็ค้นพบว่าเห็นต่างกันจริงๆ อย่างน้อยมันจะเข้าใจว่าไอ้ต้นเหตุหรือสาเหตุ หรือตรรกะมันเห็นต่างกันคืออะไร มันก็จะทําให้เราสามารถพยายามจะ สมมุติว่าต้องอยู่สังคมร่วมกัน ออกแบบกฎกติการ่วมกัน  พยายามจะออกแบบกติกาที่รองรับความเห็นที่มันหลากหลายได้ ยืนยันว่าการพูดคุยกับคนที่เห็นต่างจากเรา เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สําคัญมาก แต่เงื่อนไขที่สำคัญ สิ่งที่จะทำให้มีพื้นที่เราพูดคุยกับคนเห็นต่างได้ คือพื้นที่ปลอดภัย” พริษฐ์สำทับ

สำหรับงานนี้ ดร.พิมรภัชกล่าวว่าคาดหวังว่าจะสร้างบรรยากาศของความไม่กลัวกับการพูดคุยกับคนเห็นต่าง ตนคิดว่าสําคัญที่สุดจะแก้ปัญหาแล้วเดินไปข้างหน้า “เรื่องกลัว หรือว่าการที่เราแยกออกจากกัน ไม่เชื่อมโยงกัน จากอยู่ในห้องสะท้อน จาก ความกังวลอะไรต่างๆ  คิดว่าบรรยากาศถ้ามันไปได้วันนี้มันก็จะทําให้คนรู้สึกว่า เห็นต่างมันไม่เห็นแย่เลยมันก็คุยกันได้นี่นา”